นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ราคาปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย คาดทำให้ยอดขายทุกกลุ่มธุรกิจของเอสซีจีรวมปีนี้โต 5-10% ขณะที่คาดตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศโต 1-3% ตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปีนี้ที่คาดจะมีแนวโน้มดีขึ้น จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ และมีการผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ

“ปีนี้สิ่งที่คาดหวังคือการลงทุนภาครัฐที่มีต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจากภาครัฐคาดอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตัน หรือ 2.5% ของความต้องการใช้ทั้งประเทศที่ 40 ล้านตัน ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้น เกิดการลงทุนตามมา จึงเชื่อว่าความต้องการใช้ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะสูงขึ้น ซึ่งในระยะยาวความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยก็จะกลับมา”

นอกจากนี้ ปี 2560 เอสซีจีเตรียมงบลงทุนประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมงบเข้าซื้อกิจการ งบที่ใช้ลงทุนในโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในประเทศเวียดนาม และการลงทุนขยายกิจการในประเทศไว้แล้ว อีกทั้งในเดือนเม.ย.นี้ บริษัทฯ จะออกหุ้นกู้ 25,000 ล้านบาท ทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะหมดอายุเพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายกิจการเพิ่มเติม

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนสามารถเดินหน้าได้ตามแผน โดยโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตันต่อปี และโรงงานกระดาษคราฟท์ในประเทศเวียดนามแห่งที่ 2 กำลังการผลิต 243,000 ตันต่อปี ทำให้มีกำลังการผลิตรวม 489,000 ตันต่อปี ซึ่งทั้งโรงงานปูนซีเมนต์ และโรงงานกระดาษคราฟท์ได้ผลสินค้าออกสู่ตลาดแล้วในต้นปี 2560 ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ที่ลาวอยู่ระหว่างทดสอบการเดินเครื่องการผลิต

อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาการดำเนินนโยบายสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ ว่าจะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกอย่างไรหรือไม่ แต่เบื้องต้นมั่นใจว่าไม่น่าจะส่งกระทบเอสซีจี เพราะมีปริมาณส่งออกไปยังสหรัฐไม่มาก เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของเอสซีจีและบริษัทย่อยปี 2559 มีกำไร 56,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อนมีกำไร 45,399 ล้านบาท จากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีกำไร 42,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% เนื่องจากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และผลประกอบการของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้น และธุรกิจแพ็กเกจจิ้งมีกำไร 3,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% ขณะที่ ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีกำไร 8,492 ล้านบาท ลดลง 17%

ทั้งนี้ หากพิจารณาในแง่รายได้จากการขายปี 2559 อยู่ที่ 423,422 ล้านบาท ลดลง 4% ส่วนรายได้รวมจากการส่งออกอยู่ที่ 112,549 ล้านบาท ลดลง 11% โดยรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียนอยู่ที่ 97,669 ล้านบาท ลดลง 2% เนื่องจากธุรกิจมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าปรับตัวลดลง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน