นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พีเอฟพี ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง ภายใต้ตราสินค้า พีเอฟพี เปิดเผยว่า คาดการณ์อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปทั้งในประเทศและเพื่อการส่งออก ในปี 2560 จะขยายตัวได้ 4% จากปี 2559 ที่ภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมไม่มีการเติบโต สาเหตุจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว เช่นเดียวกับบริษัทซึ่งในปีที่ผ่านมาปิดยอดขายได้ 5,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า

แต่ในปี 2560 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 10-15% หรือราว 5,500 ล้านบาท และคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย หลังจากยอดขายในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวแล้ว 8% เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่กำลังซื้อของคนไทยเริ่มโต แม้ว่ายังไม่โตเต็มที่ ซึ่งเป็นผลจากพืชผลเกษตรมีราคาดีขึ้น และการอัดฉีดงบลงทุนของรัฐบาลที่กระจายลงไปตามภูมิภาคต่างๆ

สำหรับกิจกรรมที่จะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายจะมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างจริงจัง หลังบริษัทมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปปรุงสำเร็จเปิดแล้วทานได้เลย มีอายุการเก็บสินค้ายาว เพื่อสนองตอบความต้องการลูกค้าที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะจะเห็นได้จากการขยายตัวของร้านอาหารเมนูต้ม อย่างชาบู ที่แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากมีแคลลอรี่และไขมันต่ำ แต่ยังคงรสชาติที่ผู้บริโภคคุ้นชิน เพื่อทำตลาดสู่ผู้บริโภคครัวเรือน และอุตสาหกรรมร้านอาหารที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง ไม่ว่าเป็นต้มยำซีฟู้ด คั่วกลิ้งปลา กะเพาะปลา พะโล้ปลา แกงเขียวหวานปลา เนื้อปลาผัดกระเพรา ไส้กรอกปลารมควัน ไส้กรอกปลากระเทียม โบโลน่าการ์ลิคเปปเปอร์, โบโลน่าพริก และโบโลน่าชีส ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปเปิดตัวในงาน THAIFEX 2017 ระหว่างวันที่ 31 พ.ค.-4 มิ.ย.นี้ ที่อาคารแสดงสินค้าชาเลนเจอร์ 2 เมืองทองธานี

โดยบริษัทจะมีการจัดกิจกรรมตลาดตลอดทั้งปี ส่วนช่องทางการขาย 80% จะกระจายสู่ตลาดสด ผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงห้างค้าปลีก นอกจากนี้ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการทำตลาดทั้งในเอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยุโรปและอเมริกา รวมถึงจะขยายฐานลูกค้าเดิมไปสู่ภูมิภาคอื่นมากขึ้น เช่นจะขยายตลาดจีนตอนเหนือ ที่มีชาวมุสลิมมากถึง 40-50 ล้านคน จากเดิมที่ทำตลาดในจีนตอนใต้อยู่แล้ว รวมถึงขยายฐานลูกค้าฮาลาล ซึ่งมีมากถึง 1,600 ล้านคนทั่วโลก โดยฐานลูกค้าเดิมอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน และจะขยายไปตะวันออกกลาง อาทิ สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ และอิหร่าน เป็นต้น

“พี.เอฟ.พี. มีการปรับตัวมาโดยตลอดโดยเฉพาะเครื่องจักในการผลิต ซึ่งบริษัทมีการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตถึงปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ปีละ 15% ไปได้อย่างน้อย 3 ปี ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เต้าหู้ปลา พี.เอฟ.พี. ถือเป็นเจ้าแรกของตลาดโลก ซึ่งได้รับความนิยมจากกลุ่มฟู้ดเซอร์วิสโดยเฉพาะในไทย และบริษัทจะรุกตลาดฟู้ดเซอร์วิสในต่างประเทศมากขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศประมาณ 30-40% ของยอดขายรวม”นายทวี กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน