สายการบินนกแอร์ แจงผลประกอบการ 3 ไตรมาส ปี 2563 ขาดทุน 3.9 พันล้านบาท เหตุรับรู้ผลขาดทุนของบริษัทย่อย สายการบินนกสกู๊ตที่ปิดกิจการจากพิษโควิด
วันนี้ (17 พ.ย. 63) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนของปี 2563 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยในไตรมาส 3 นกแอร์ขาดทุนส่วนที่เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,466 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 134% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 624 ล้านบาท
ส่วนงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จ จำนวน 2,598 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับงวดจำนวน 2,280 ล้านบาท โดยมีขาดทุนส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่จำนวน 3,935 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีผลขาดทุนจำนวน 1,634 ล้านบาท
เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อเนื่อง โดยตรงต่อการเดินทางทางอากาศทำให้จำนวนผู้โดยสารทางอากาศโดยรวมทั้งภายในและระหว่างประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมาตราการปิดเมืองของภาครัฐในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. 2563 อันเป็นเหตุให้สายการบินนกแอร์ได้มีการยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราว
ขณะที่ผู้โดยสารเริ่มมีการเดินทางภายในประเทศมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 อัตราการแข่งขันในเรื่องราคา ค่าตั๋วเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้ประกอบการสายการบินทุกสายการบินได้ถูกจำกัดการบินเพียงภายในประเทศ อันเป็นผลให้ราคาค่าตั๋วและอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารลดลง
นอกจากนี้ การนำมาตรฐานบัญชีการรายงานงบการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 ทำให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทมีสัญญาเช่าระยะยาวที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศ และการแจ้งเลิกกิจการของ บริษัท สายการบินนกสกู๊ต จำกัด (บริษัทย่อย) เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2563 เป็นผลทำให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากการเลิกกิจการของนกสกู๊ต ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทำให้ส่วนผลขาดทุนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 3,935ล้านบาท
ส่วนรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 4,827 ล้านบาท ลดลง 47.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้จำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทมีจำนวนรวม 9,473 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 10.74% ซึ่งลดลงในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้ที่ลดลง
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 63 นายประเวช องอาจสิทธิกุล ยังได้ขอลาออกจากการดำรงกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป จากที่ก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ได้ขอลาออกจากการดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระและประธานกรรมการ (บอร์ด) บริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป