นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนก.พ. 2565 ว่า อยู่ที่ระดับ 43.3 ต่ำลงจากเดือนม.ค. ซึ่งอยู่ที่ 44.8 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่ ต.ค. 2564
เนื่องจากผู้บริโภคเจอปัญหาระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และกังวลสงครามรัสเซีย และยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันโลกแพง และกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งกดดันให้เศรษฐกิจโลกและไทยฟื้นตัวช้าลง และอาจกระทบการส่งออกและเกิดปัญหาสินค้าแพง
“ความเชื่อมั่น เดือนก.พ. ยังสะท้อนปัญหาสงครามไม่เต็ม 100% จึงเชื่อว่าแนวโน้มความเชื่อมั่นในอนาคตจะตกลง และต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง จากราคาน้ำที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งวันนี้ทะลุ 130 เหรีญสหรัฐ/บาเรลแล้ว”
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า หอการค้าได้ประเมินผลกระทบจากกรณีการสู้รบต่อเศรษฐกิจไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้ 1. ความขัดแย้งจบภายใน 3 เดือน เศรษฐกิจไทยจะเสียหาย 7.3 หมื่นล้านบาท จีดีลดลง 0.5% ทำให้ภาพรวมทั้งปีโต แค่ 3.7% ขณะที่เงินเฟ้อจะอยู่ระหว่าง 3-3.5%
2. จบภายใน 6 เดือน เศรษฐกิจไทยจะเสียหาย 1.4 แสนล้านบาท จีดีลดลง 0.9% ทั้งปีโต แค่ 3.3% ขณะที่เงินเฟ้อจะอยู่ระหว่าง 3.5-4.5%
และ 3. กรณีที่แย่สุด จบภายในสิ้นปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะเสียหาย 2.44 แสนล้านบาท จีดีลดลง 1.5% ทั้งปีโต แค่ 2.7% ขณะที่เงินเฟ้อจะพุ่งสูงถึง 4.5-5.5%
“กรณีเลวร้ายสุดหากสู้รบยืดเยื้อไปจนถึงปลายปี เศรษฐกิจไทยจะเสียหาย 2.44 แสนล้านบาท จีดีพีจะลดลง 1.5% ทั้งปีโตแค่ 2.7% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 4.2% ส่วนเงินเฟ้อจะขึ้นไปแตะ 5.5% ทะลุจากเป้าหมายที่อัตรา 1.5% โดยในเดือนเม.ย. หอการค้าจะทำการปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้ง”
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังคาดการณ์ราคาน้ำมันยาก เพราะไม่รู้การสู้รบจะยาวนานหรือไม่ เบื้องต้นคาดว่าราคาน้ำมันทั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กระทบทำให้ราคาน้ำมันทุกชนิดปรับเพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 5 บาท เช่น ดีเซลขึ้นไปที่ 35 บาท และ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทุก 1 บาท/ลิตร จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจภาพรวมขยายตัวลดลง 0.3-0.4% ซึ่งถ้าน้ำมันขึ้น ลิตรละ 5 บาท ตามที่เราคาดการณ์ จีดีพีไทยปีนี้จะโตลดลง 1.5-2% หรือโตแค่ 2.2-2.7% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 4.2% และหากน้ำมันปรับขึ้นเป็น 120 เหรียญหสรัฐ จีดีพีไทยจะขยายตัวได้แค่ 1.5% เท่านั้น
