นอกจากจับไมค์ร้องเพลงแล้ว ลูกทุ่งคนดัง ‘เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม’ หรือ ‘เบิ้ล’ อาทิตย์ สมน้อย ยังได้พลิกบทบาท ก้าวสู่การเป็นผู้บริหาร เป็นเจ้าของค่ายหนัง “LAND Of Smiles film” ผลิตภาพยนตร์เรื่องแรก “ออนซอนเด” จนประสบความสำเร็จ

ล่าสุดลุยทำหนังเรื่องที่สองต่อ เรื่อง “ฮักเถิดเทิง” คว้าซุป’ตาร์ลูกทุ่ง ก้อง ห้วยไร่, แซ็ค ชุมแพ, ลำไย ไหทองคำ, เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น, เนสกาแฟ ศรีนคร, อาม ชุติมา รวมถึงตนเองร่วมแสดง

“ฮักเถิดเทิง” เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร?
เบิ้ล – “เรื่องราวของกลุ่มศิลปินที่มีความใฝ่ฝันอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในเรื่องการพัฒนาด้านเสียงเพลงสู่คำว่าโกอินเตอร์ แล้วจะมีลูกสาวค่ายเพลงเข้ามาพัฒนาศิลปินในหมู่บ้าน จะมีการเดินเรื่องแบบชาวบ้านด้วย แบบนักร้องด้วย จะมีหลายสไตล์ ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง ฮักแพง หรือ ออนซอนเด

ก็จะเป็นการผสมผสานสิ่งที่ดีของหนังทั้ง 2 เรื่องมารวมกันในเรื่องนี้ แต่จะมีความเข้มข้นขึ้น มีความแฟนตาซี มีฉากคอนเสิร์ต มีมุขเฮฮาที่ไม่ได้มีในหนัง 2 เรื่องที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้โปรดักชั่นจะเยอะขึ้น นักแสดงก็มากขึ้นด้วย ได้ทั้งน้องเจนนี่ น้องเนสกาแฟ น้องอาม และน้องลำไย ที่มีคิวงานเยอะแยะมากมายมารวมตัวกัน โดยสร้างพวกเขาให้เป็นเกิร์ลกรุ๊ปอีสาน กว่าจะหาคิวมาอยู่ด้วยกันได้ก็ลำบาก”

ในฟากหนุ่มๆ เลือกเอาเพื่อนซี้อย่าง ก้อง ห้วยไร่ และ แซ็ค ชุมแพ มาเล่น คือความตั้งใจเลยไหม?
เบิ้ล – “อันนี้ผู้กำกับฯ เป็นคนคัดเลือก ผมไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง ถึงแม้จะเป็นเจ้าของค่ายหนังก็ตาม ผมว่าเป็นเหมือนคู่พระคู่นางกันมา เล่นคู่กันมาหลายๆ เรื่อง อาจจะเพราะหน้าหนังพอออกมาแล้วดูโอเค เล่นกันแล้วสนุกสนาน ผู้กำกับฯ เลยเลือกมา เรียกว่าให้สิทธิ์ผู้กำกับฯ เต็มที่ ส่วนผมก็ทำหน้าที่นักแสดงไป”

เล่าถึงคาแร็กเตอร์แต่ละคน?
เบิ้ล – “คาแร็กเตอร์ผมจะแอ๊กๆ เก๊กๆ ไม่ชอบนางเอก (ชิงชิง คริษฐา) นางเอกคือคนที่จะมาพัฒนาเรื่องเพลงในหมู่บ้าน ความที่คิดว่าพ่อนางเอกเป็นคนโกง สุดท้ายกลายเป็นว่าความขี้เก๊กของเราเข้าไปป่วนการทำงานของเขา ส่วนพี่ก้องจะเป็นตัวโจ๊กของหนัง ส่วนแซ็คจะสุขุมแต่เฟอะฟะ ดูเอ๋อๆ ซึ่งลุกส์ของแต่ละคนจะเปลี่ยนไป อย่างผมจะเป็นสไตล์เร็กเก้ พี่ก้องเอลวิสอีสาน แซ็คเป็นฟีลไมเคิล แจ๊กสัน เรียกว่าแฟนตาซีสีสันสดใสมาก”

แล้วทำไมเลือก ลำไย, อาม, เนสกาแฟ, เจนนี่ มารวมตัวกัน?
เบิ้ล – “ผู้กำกับฯ มองว่าอยากทำเกิร์ลกรุ๊ปในการรวมตัวศิลปินอินดี้ผู้หญิง เลยเลือก 4 คนนี้มา ซึ่งทั้ง 4 คนในหนังจะแตกต่างจากที่เห็นทั่วไป สวยน่ารักอารมณ์เกาหลีอีสาน ปรับเปลี่ยนลุกส์เต็มที่ ทุกคนจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน

เพราะทุกคนคือทีมเวิร์ก ผู้กำกับฯ พยายามไม่ให้ใครเด่นไปกว่ากัน เฉลี่ยบทสำคัญเท่ากันหมด และอย่างที่รู้ 4 คนนี้คิวทองมาก ก่อนถ่ายต้องเช็กคิวดีๆ กว่าจะรวมตัวกันได้ลำบาก ถ้าคนหนึ่งมาไม่ได้ ฉากที่ต้องเข้าด้วยกันคือถ่ายไม่ได้ ดังนั้นต้องจองล่วงหน้าไว้นานๆ แต่น้องทุกคนให้ความร่วมมือดีมากครับ”

แล้ว ‘ชิงชิง คริษฐา’ ไปจีบมาเล่นยังไง?
เบิ้ล – “ทางผู้กำกับฯ เป็นคนเลือก คือเห็นเขาเล่นละครนายฮ้อยทมิฬ พูดอีสานได้ เลยเลือกมา ในเรื่องชิงชิงคู่ผม ตอนแรกยังไม่รู้จักเขา พอรู้ว่าจะได้เล่นกับคนนี้ก็ไปหาข้อมูลจนรู้ว่าเขาเป็นตัวหลักช่อง 7 เหมือนกัน ดีใจที่จะได้ร่วมงาน ถามว่ากดดันมั้ย เขาน่าจะเป็นฝ่ายกดดันมากกว่า

เพราะเราถนัดด้านนี้อยู่แล้ว สายซน สายตลก แต่เขาเพิ่งมา แล้วก็เลยเป็นการคลายล็อกตัวเองโดยการแกล้งเขามากกว่าที่เราจะกดดัน เรียกว่าช่วยละลายพฤติกรรมให้เขา ในเรื่องผมกับชิงชิงจะเน้นไปทางเป็นคู่กัด ไม่ค่อยมีซีนหวาน แต่ก็มีบ้าง ดูเป็นแนวน่ารักๆ”

หนังเรื่องแรกของค่ายก็เล่นเอง มาเรื่องนี้ก็เล่นอีก เรียกว่าเป็นเจ้าของค่ายที่เล่นหนังตัวเองตลอดเลยไหม?
เบิ้ล – “ไม่ใช่นะครับ ผู้กำกับฯ เลือกผมเอง (หัวเราะ) ผมไม่ซีเรียส เล่นก็ได้ ไม่เล่นก็ได้ ลำพังตัวเราก็เข้าใจว่าถ้าหนังเรื่องไหนไม่เหมาะกับเรา เล่นไปมันก็เหมือนฝืนตัวเอง เพราะบทบาทมันไม่ใช่ แต่ผู้กำกับฯ เขามั่นใจว่าเรื่องนี้มันเหมาะ เราก็ต้องเล่น ผมเองก็กลัวคนคิดว่าทำหนังให้ตัวเองเล่นรึเปล่า แต่อย่างที่บอก มันเป็นไปตามบทที่ผู้กำกับฯ เห็นว่าเหมาะสมเลยเลือกเรา”

บทบาทการเป็นเจ้าของค่ายหนังยากไหม?
เบิ้ล – “มันกดดันมากกว่าแสดงเองหลายเท่า ไม่ได้ว่าเล่นเสร็จแล้วกลับบ้าน แต่เสร็จแล้วต้องมานั่งดูงาน วางแผนงานล่วงหน้า หลายคนบอกว่าผมใจกล้าที่เริ่มงานในบทบาทนี้เร็ว จริงๆ เป็นความใจร้อน คิดปุ๊บทำปั๊บ เลยเป็นที่มาของการทำค่ายหนัง สุดท้ายก็ต้องมองถึงความมั่นคงด้วย ไม่ใช่คิดเร็วทำเร็วแบบที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง”

ตั้งเป้าทำหนังทุกปีเลยไหม?
เบิ้ล – “ทุกปีต้องมีหนังอย่างน้อยปีละเรื่อง ส่วนจะเป็นแนวอีสานๆ ตลอดมั้ย คงไม่ เรื่องต่อไปจะฉีกไปคนละทาง เป็นแนวพีเรียด ต้องคอยติดตามดูปีหน้า ตอนนี้เลือกนักแสดงไว้ในใจแล้ว ต้องดูว่าจะได้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า”

แนวโน้มของค่ายเป็นไงบ้าง?
เบิ้ล – “ถือว่าไปในทิศทางบวกมากกว่า สูญเสีย ออกแนวปานกลาง ไม่ได้บวกมากหรือเสียมาก อย่าง ฮักเถิดเทิง ตอนแรกวางคิวฉาย 1 พ.ค. วันแรงงาน แต่มีเรื่องโควิด-19 เข้ามา เลยย้ายมาเป็น 23 ก.ค. พอต้องเลื่อนก็แอบใจแป้ว แต่ก็ต้องทำใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ถามว่าแบ่งภาคยังไงในการทำงานแต่ละอย่าง ผมใช้เวลาว่างจากการเล่นคอนเสิร์ต แต่เราก็จะมีคนช่วยซัพพอร์ตดูแลด้วย เพราะไม่สามารถทำคนเดียวได้แน่ๆ มันอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่สนุกครับ”

ถามเรื่องทำศัลยกรรมหน่อย?
เบิ้ล – “อ๋อ จริงๆ แก้แค่จมูกและทำตา จมูกที่ต้องแก้เพราะเดิมทีมันเป็นสัน แต่มันทื่อ ก็ทำให้เล็กลง แต่ให้มันบาลานซ์กันโดยไม่ต้องดึงตามาก ทำมาแล้วก็มีคนชม แต่ช่วงแรกๆ อาจจะรู้สึกแปลกๆ เพราะทำตามาแล้วยังดูเป็นชั้นหนา แต่ตอนนี้เริ่มเข้าที่มากขึ้น เริ่มโอเค ส่วนตาจริงๆ เดิมทีมีชั้น แต่ไม่ชัด มันหลบเข้าไป ก่อนทำก็ดูโหงวเฮ้งเพราะเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ถึงขั้นงมงายจนศัลยกรรมเต็มหน้า

เราก็เชื่อในสิ่งที่…เราเองก็ดูออกว่าทำมาแล้วโอเครึเปล่า คนอื่นเขาก็ดูออก ถ้าทำเยอะเกิน ก็จะกลายเป็นปลอมมาก สมัยนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็โอเค แค่ลดหุ่นให้เฟิร์ม ให้กรอบหน้าชัดก็พอ ไม่ได้คิดทำอะไรเพิ่มแล้ว”

หลายคนชื่นชมว่าไม่ปิดบัง?
เบิ้ล – “พอมีคนถามก็พูดตรงๆ สมัยนี้จะบอกว่าออกกำลังกาย นอนเพียงพอ มันก็ไม่ใช่ ออกกำลังกายอยู่ดีๆ จะจมูกโด่งขึ้นก็ไม่ใช่”

อัพเดตชีวิตช่วงโควิดเป็นยังไงบ้าง?
เบิ้ล – “พักผ่อนอยู่บ้านเลย เพราะไม่มีงาน รายได้ไม่มีอยู่ 2-3 เดือน โชคดีที่ไม่ถึงขั้นลำบากมาก แต่ก็ไม่ได้มีเงินเก็บเยอะขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมาทำบ้านไปเยอะ แต่ช่วงนี้เริ่มกลับมาทำงานแล้ว น่าจะดีขึ้น ส่วนผลงานเพลงใหม่ออกมาแล้ว ชื่อ พังสลาย แนวช้าซึ้งอารมณ์อกหัก

เพราะอยากย้อนรอยสมัยที่ทำเพลงยุคแรกๆ อย่าง อ้ายมีเหตุผล แล้วก็ยังอยู่กับอาร์สยามค่ายเดิม ผมแฮปปี้ปกติดี ทำงานมีความสุข ไม่ถึงขั้นว่าต้องวางแผนอยู่หรือไป แต่อยู่กับปัจจุบันในแต่ละวันมากกว่า”

โดย…จิรณัฏฐ์ จงประสพมงคล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน