ดารารุ่นใหญ่ โจ๊กเกอร์ ณศิวัชร์ ควงภรรยาสาว เปิดเส้นทางความรัก 10 ปี เผยเคยเจ้าชู้หวิดวิวาห์ล่ม แจงเหตุไม่ให้ลูกแฝดเข้าวงการ

นักแสดงรุ่นใหญ่ โจ๊กเกอร์ ณศิวัชร์ นพภิรมย์ไชย หรือชื่อเดิม นพชัย มัททวีวงศ์ ควงภรรยารุ่นน้อง โบว์ วรัญญา ที่อายุห่างกัน 8 ปี มาเปิดเผยความรักที่ยาวนานกว่า 10 ปี พร้อมเล่าเคยสร้างวีรกรรมแสบ เจ้าชู้ต้องคลานเข่าไปสารภาพ อีกทั้งยังประกาศลั่น ไม่ให้ลูกแฝดเข้าวงการ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และ ใบเฟิร์น พัสกร เป็นพิธีกร

ก่อนเจอภรรยาสมัยก่อนเจ้าชู้ขนาดไหน? โจ๊กเกอร์ : “คาแร็กเตอร์บุคลิกดูเป็นคนเจ้าชู้ ผมเป็นคนชอบคุย สนุกสนาน จะเข้าถึงทุกคนได้ง่าย”

เขาบอกว่าช่วงโสดคุยทีคุยหลายคน? โจ๊กเกอร์ : “จริงๆ ไม่ได้เยอะนะ น่าจะ 2-3 คนไม่เกินนั้นหรอก แต่ถ้าคุยกับใครแล้วเราจริงจัง เราซีเรียส เราตัดทุกคนออกหมด”

วันที่เจอโบว์ครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง? โจ๊กเกอร์ : “ก็คือผมไปเที่ยว ใช้คำว่าผมเป็นตำนานรักของที่นั่นได้เลยนะ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยลงเอยกัน คือผมจะสนิทกับน้องๆ ที่เป็นเจ้าของ ผมไปทำงานที่เชียงใหม่ ทำเสร็จก็ไปเที่ยว แล้วก็ได้ไปเจอโบว์ ครั้งแรกที่เจอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยนะ เท่ดี แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ผู้หญิง”

คุณคิดว่าเขาเป็นประเภทสอง? โจ๊กเกอร์ : “ใช่ ถูกต้อง เพราะว่าเพื่อนรอบตัวโบว์เป็นเพื่อนสาวหมดเลย เราก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ใช่ผู้หญิง”

ทำไมถึงไปกับเพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองทั้งโต๊ะ? โบว์ : “ส่วนใหญ่เพื่อนโบว์จะเป็นประเภทสองเยอะ วันนั้นในโต๊ะก็มีผู้หญิง 2-3 คน แต่ส่วนใหญ่สาวสองจะมีประมาณ 10”

ตอนนั้นรู้ไหมว่ามีผู้ชายคนนี้แอบเหล่อยู่? โบว์ : “รู้ค่ะ เขาเข้ามาเลย”
โจ๊กเกอร์ : “ถ้าไม่บุกจะรู้เหรอว่าใช่ไม่ใช่ ไปให้รู้”

คุยกันนานไหมกว่าจะตัดสินใจเป็นแฟน? โบว์ : “เกิน 2 ปี”

คนนี้คือรักแรกพบเลยไหม? โจ๊กเกอร์ : “เคยจีบผู้หญิงไม่เคยนานขนาดนี้มาก่อน ก็เลยรู้สึกว่าอะไรเนี่ย จะบอกว่ารักแรกพบก็ได้นะ มันเป็นความท้าทาย ทำไมมันยากเย็นขนาดนี้ แล้วเขาก็อยู่เชียงใหม่ เราอยู่กรุงเทพฯ ด้วย มันห่างกัน แล้วมีช่วงที่มันเจ็บใจมากนะ คือระหว่างนั้นเราไปทำงานอีเว้นท์ที่เชียงใหม่ มีไปแล้วไม่ได้เจอเขาด้วย ซึ่งหลังจากที่เรารู้จักกันแล้ว คือเขาไม่ได้สนใจเรา”

แต่สุดท้ายยอมใจอ่อน เพราะอะไร จริงหรือเปล่าที่โจ๊กเกอร์บอกว่าจะขับรถไปหาที่เชียงใหม่?
โบว์ : “อ๋อ ใช่”
โจ๊กเกอร์ : “เขาท้าผม พอดีโบว์เขามีธุระที่ต้องมาทำงานที่พัทยา แล้วเขาต้องนั่งเครื่อง ผมบอกว่าไปรับไหม อันนั้นพูดเล่นๆ โบว์เขาบอกว่าเอาดิ มาไหมล่ะ ถ้ามาจะอยู่รอ ก็จะไม่ไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งมันพูดไปแล้ว แล้วมันก็เป็นโอกาสเหมือนช่องมันเปิดแล้ว แล้วตอนที่คุยค่ำแล้วนะ เขาก็คงไม่เชื่อว่าผมจะมา สรุป 7 โมงเช้าผมอยู่เชียงใหม่เรียบร้อย”

ตอนนั้นเราใจอ่อนไหม? โบว์ : “ก็รู้สึกว่าทำจริง ก็ใช้ได้ แต่จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว เพราะว่าเราก็คุยกันมาค่อนข้างนาน”

ตัดสินใจเป็นแฟนกัน คุณโจ๊กเกอร์ตัดสินใจย้ายไปอยู่เชียงใหม่เลยเหรอ? โจ๊กเกอร์ : “ใช่ ตอนนั้นด้วยความที่รักโบว์มาก โดยส่วนตัวพี่ชอบจังหวัดเชียงใหม่อยู่แล้ว ชอบทางเหนือ ก็เลยคุยกับคุณพ่อ คุณแม่ว่าจะขอไปอยู่ทางนู่น”

เห็นว่าก่อนจะตัดสินใจไปอยู่เชียงใหม่หมดค่าเครื่องไปเป็นแสน? โจ๊กเกอร์ : “ตอนนั้นที่ไป ด้วยความที่พอไปอยู่เสร็จปุ๊บ เราก็ไปหาอะไรทำทางนู่น ชวนโบว์เปิดร้านเล็กๆ ของเรา เพื่อจะได้อยู่กับเขา ให้เขามีอะไรทำ ช่วงนั้นเขาก็เรียนหนังสือด้วยแต่ปัญหาคือ มีทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนมีกองถ่ายละคร ถ่าย พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อยู่เชียงใหม่เสร็จวันพุธบินกลับมา พอถ่ายละครเสร็จวันอาทิตย์ก็บินกลับเชียงใหม่ บินไป บินกลับ อยู่แบบนั้นเกือบ 3 ปี ซึ่งทำงานเสร็จ สุดท้ายหมดค่าเครื่องบินหมดเลย”

แต่มันก็คุ้มกับความรัก? โจ๊กเกอร์ : “มันเป็นการพิสูจน์ว่าผมยอมทิ้งที่บ้าน ซึ่งเป็นคนติดที่บ้านมากเลย ไปอยู่ที่เชียงใหม่ เพื่อนฝูงจะเจอโจ๊กก็ต้องบินไปเชียงใหม่”

โบว์เห็นความพยายามเขาไหม? โบว์ : “ตอนนั้นเขาเลยกลายเป็นคนเชียงใหม่เลย ไปที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก”

คบกันนานเท่าไหร่ถึงตัดสินใจแต่งงาน? โจ๊กเกอร์ : “8 ปี”

มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหวิดวิวาห์ล่ม? โบว์ : “ช่วงที่วางแผนจะแต่งงานเขาก็ไปคุยกับที่บ้าน เหมือนเราจะข้ามไปอีกสเต็ปนึง ด้วยความที่เราเพื่อนเยอะ แล้วเขาก็เพื่อนเยอะ เวลาเขาไปไหนมาไหน เพื่อนเราชอบโทรมาบอกเจอพี่โจ๊กที่นี่นะ โบว์อยู่ไหน เราก็บอกว่าอยู่บ้าน คราวนี้เขาไปแล้วเขาไม่บอก นอกจากเพื่อนโทรมา บางทีก็จะเป็นข้อความแปลกๆ มา บางทีส่งรูปพี่โจ๊กมาให้แบบลั้ลลาอยู่ ตี2 ตี3 ตี4 แบบนี้ เรารู้สึกว่านี่เราจะแต่งงานมันไม่ควรมีเรื่องแบบนี้อีกแล้ว แล้วพอมันมีเรื่องนี้ขึ้นมา เราเลยรู้สึกว่าจะเอาดีปะวะ แล้วพี่โจ๊กจะเป็นแบบว่าถ้าเราคุยไม่มีหลักฐานเขาจะไม่ยอมรับ แต่ครั้งสุดท้ายมีคนส่งรูปมา เรามีหลักฐานละ เราก็เลยคุยกับเขาว่าจะเอายังไง มันบ่อยละนะ”
โจ๊กเกอร์ : “คือแบบ…เป็นความซวยไหม เราไปที่ไหนเจอตลอด บางทีหนีเที่ยวไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ไม่อยากให้เขารู้”

แล้วเรื่องมือที่สาม ที่บอกว่าโทรคุยกันสามคน? โจ๊กเกอร์ : “มันเป็นความบังเอิญ ความเข้าใจผิด”
โบว์ : “คนนี้แหละที่ส่งรูปมาให้ ตอนนั้นเขาส่งมาประมาณตี4 เราก็รอถึงเช้า ไม่กล้าบอกเขา เพราะเราก็ยังตั้งสติอยู่ ก็ปริ๊นรูปออกมา แล้วชวนพี่โจ๊กมาหา แล้วถามว่าเมื่อคืนไปไหน ถามรีเช็ก ว่าจริงหรือไม่จริง เขาก็บอกไม่ได้ไปไหน อยู่บ้าน เราก็เลยบอกว่างั้นพี่โจ๊กดูนี่นะ แล้วก็บอกว่าเอาเบอร์พี่โจ๊กโทรหาเบอร์นี้ให้หน่อย ก็ให้พี่โจ๊กพูดตามที่เราพูด แต่เขาไม่พูด เขาบอกว่าตอนนี้อยู่กับโบว์นะ เราก็เลยให้เขาคุยกันว่าจะเอายังไง ตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่น่าจะไปต่อแล้ว เพราะมันรับไม่ได้ คือเดิมเราไม่เคยถามเขาว่าเขาไปไหน อยู่กับใคร เราไม่ได้รีเช็กเขา แต่คนอื่นเอาข้อมูลมาให้ตลอด จนเราเบื่อที่จะมานั่งรับข้อมูลแบบนี้แล้ว”

มันมีประโยคว่ารู้นะว่าจะแต่งงาน แต่อยากได้? โบว์ : “เขาพูด ก็เปิดสปีกเกอร์โฟนคุยกัน”

พอเขาพูดแบบนี้โบว์กับโจ๊กว่าไง? โจ๊กเกอร์ : “ผมไม่พูด ผมให้เขาพูด”
โบว์ : “มันจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่โบว์ก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคนไปเคลียร์กันเอง”
โจ๊กเกอร์ : “ก็เคลียร์ ผมบอกว่าเดี๋ยวจัดการเอง ไม่ต้องมายุ่งกันแล้ว จะได้เคลียร์ๆ กัน”

สุดท้ายก็แต่งงานกัน แต่ทำไมแต่งงานแล้วคุณยังแอบหนีเที่ยวอยู่เลย? โจ๊กเกอร์ : “คนมันชอบอ่ะ แต่ชอบที่นี่ผมไม่ได้ชอบเที่ยวกลางคืนเบอร์นั้น แต่เป็นคนชอบฟังเพลง”

เห็นว่ามีการคลานเข่าไปขอโทษภรรยา? โจ๊กเกอร์ : “ถ้าคลานเข่าอันนั้นเล่นขำๆ ไม่โกรธจริง แต่ถ้าโกรธจริงไม่มีคลานเข่า เดินไปแบบเสงี่ยม คือผมต้องบอกก่อนว่าบางทีผมไม่อยากให้โบว์ไม่สบายใจ พอแอบไปเที่ยว ไปนั่งฟังเพลง สุดท้ายโทรศัพท์มันชอบลั่น พอหลับแล้ว ตี1 ตี2 โทรศัพท์ดัง โทรศัพท์มันโทรเอง แล้วโบว์ก็รับ เราก็ไม่ได้พูด มันเป็นหลายครั้ง หลังๆ ไม่เอาแล้วโทรศัพท์ โยนไปเลย”

สิ่งหนึ่งที่โบว์ไม่ชอบมาก คือคุณไม่ค่อยรับโทรศัพท์? โจ๊กเกอร์ : “อย่าว่าแต่เที่ยวเลย คือทำงาน สมัยก่อนมันถูกปลูกฝังมาถ่ายละครเราไม่สามารถพกโทรศัพท์ได้ แล้วการทำงานบางทีพี่ไปดำน้ำ พี่ขึ้นเขา เป็นที่ที่ไม่มีสัญญาณ แต่โทรบอกหรือไลน์บอกว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็หายไปเลย เพราะเป็นคนชอบไม่สนใจโทรศัพท์ เป็นคนไม่ค่อยรับโทรศัพท์”
โบว์ : “จริง บางทีมันหงุดหงิดนะ มันไม่ใช่แค่เรานะ หลังๆ เพื่อนเขาเริ่มโทรหาเราแล้วว่าโจ๊กอยู่ไหน”

แล้วที่หายไป 3 วัน ไปไหน? โจ๊กเกอร์ : “บางทีมันไม่มีสัญญาณเลย เอาจริงๆ นิดนึงก็ขี้เกียจโทรกลับ มันกำลังฟิลแบบ ความจริงเป็นคนมีความส่วนตัวสูงเหมือนกันนะ อยู่ในโลกของตัวเอง เจอภูเขา อยากเสพความสุขแบบนี้ ก็เลยบอกว่ามีอะไรติดต่อผ่านทีมงานแล้วกันโทรศัพท์ก็ฝากทีมงานไว้หมดเลย บางทีโยนทิ้งไว้บนเรือด้วยซ้ำไป แล้วเราก็ไปนอนอยู่บนภูเขา อยู่แคมป์”

พี่โจ๊กแอบโกหกภรรยาว่าจะไปทำอย่างอื่น แต่จริงๆ แล้วไปเที่ยวสถานที่นึง ภรรยาจับได้เพราะเห็นรูปในหนังสือพิมพ์? โบว์ : “ใช่”
โจ๊กเกอร์ : “อันนี้พูดตรงๆ พี่จำไม่ได้เลยนะ”
โบว์ : “เขาบอกเราว่าเขาจะไปงานเตะบอล พอเตะเสร็จก็มีงานเลี้ยง ปาร์ตี้ แล้วภาพคือถ่ายรูปรวมแล้วจะมีผู้หญิงเซ็กซี่หน่อย”

พอเห็นแล้วโกรธไหม? โบว์ : “เพื่อนอีกแล้ว เพื่อนเห็นถ่ายรูปส่งมาให้ดู”

ยังไงก็ไม่ยอมให้ลูกสาวทั้งสองคนเข้าวงการบันเทิง? โจ๊กเกอร์ : “มันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น ถามว่ามีคนชวนไหม มี แต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กที่ขี้อาย เขาอาจจะไม่มีแอ๊กติ้ง หรือไปทำงานได้เบอร์นั้น เขาขี้อายทั้งคู่ ตอนเด็กๆ เคยทำรายการด้วยกัน สุดท้ายเราไม่สามารถให้เขาทำอะไรได้เลย มันจะเหมือนให้เขาทำกิจกรรมของเขา แล้วเราก็ส่องถ่ายแบบนั้นมากกว่า เราก็เลยคิดว่าถ้าเขาไปเดี๋ยวไปเป็นภาระกองถ่ายเปล่าๆ เกรงใจเขา”

แล้วถ้าวันนึงเขาโตขึ้น แล้วมีความสนใจด้านการแสดง? โจ๊กเกอร์ : “อันนั้นแล้วแต่เขา ถ้าเขาชอบ เขาพร้อม”

ถ้าเกิดไม่ใช่วงการบันเทิง มองอนาคตลูกไว้ยังไง? โจ๊กเกอร์ : “ตอนนี้อยากให้เขาเล่นกีฬา ตอนนี้น้องเล่นกีฬาตีแบด ว่ายน้ำ คือให้เป็นเด็กที่มีความชอบเรื่องกีฬามันจะโอเค ที่เหลือก็แล้วแต่เขาแล้ว”
โบว์ : “ยังไงก็ได้ ให้เขาเลือกตามที่เขาต้องการไปเลย”

คลิปสัมภาษณ์ โจ๊กเกอร์ และภรรยา

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน