หนุ่ม กะลา เผยเหตุถอนฟ้อง อดีตภรรยา จูน เพ็ญชุลี เล่าย้อนเกือบเลิกร้องเพลง พร้อมเผยสิ่งที่ได้เรียนรู้ หลังจากบวชอยู่ในพระธรรม
วันที่ 11 พ.ย. ที่ บริเวณ ล็อบบี้ อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ในงานครบรอบ 41 ปี บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) นักร้องชื่อดัง หนุ่ม ณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา มาร่วมแสดงความยินดี หลังจากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องคดีความที่ถอนฟ้อง จูน เพ็ญชุลี อดีตภรรยา พร้อมเล่าเกือบเลิกร้องเพลง เพราะผ่านเป้าหมายสูงสุดมาแล้ว
หลังสึกออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?
“ผมว่ารอบนี้ต่างจาก 2 ครั้งแรกที่บวช ครั้งแรกบวช เพราะถึงวัย ครั้งที่สองตั้งใจว่าถ้ามีความสุขที่สุดจะบวช แต่ครั้งที่สามก็ตั้งใจเหมือนกัน เพราะแพลนมานานมากว่าจะบวช แต่ดันมีสึนามิเข้าพอดีแหละ มันไปบวชด้วยความทุกข์ยอมรับตรงๆ เลยว่ามันกำความทุกข์นั้นไว้แล้วก็ไปอยู่ในผ้าเหลือง ต้องอยู่กับความทุกข์และพยายามเข้าใจ และพยายามขจัดสิ่งนั้นออกจากใจเรา พยายามเรียนรู้ใจเราเอง”
ไปอยู่ในผ้าเหลืองช่วยขจัดความทุกข์ได้มั้ย?
“ผมว่าจริงๆ แล้วพระธรรม ธรรมะก็ยังช่วยได้เหมือนเดิม ส่วนตัวผมเองคิดว่าการไปบวชเป็นจังหวะที่ดีมาก พอเราไม่คิดว่ามันจะมีความทุกข์เข้ามากะทันหันขนาดนั้น มันมีความทุกข์เข้ามาก่อนที่จะบวชแป๊บเดียวเอง พอมันได้อยู่กับตัวเอง ได้วิเคราะห์ศึกษาใจตัวเองจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร เรากำลังเป็นอะไรอยู่ ผมว่าช่วยได้ ได้ทบทวนตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่เล่นโซเชียลเลย แล้วไปอยู่วัดป่าด้วย
มันเป็นครั้งแรกที่เรามีความทุกข์มากแล้วเราไม่ได้คุยปรึกษาใครเลย พอเราไปอยู่ตรงนั้นตัวเราเท่านั้นที่จะผ่านตรงนี้ไปได้ พอคุณไปอยู่ในเขตของวัดป่า กุฏิใครกุฏิมันใน 1000 กว่าไร่ ทุกคนก็ต้องตัวใครตัวมัน ผมก็ต้องนั่งสมาธิ นั่งได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องนั่ง มันมีเรื่องนี้มารบกวนจิตใจตลอด
หลังจากสึกออกมารอบนี้ได้เข้าใจธรรมชาติ ใช้คำว่าสรรพสิ่งเลยดีกว่า เข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริง เข้าใจความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราจะแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เขาทำแบบนั้น ทำทำไม เช่น เราโดนว่าในโซเชียล มันเกิดจากอะไร ต้นเหตุมันเป็นอะไร ก็เข้าใจเขา
พอสึกมาละไปเยอะครับ สึกมาผมก็ถอนฟ้องสื่อหมดนะครับ ที่มีเรื่องเกี่ยวกับสื่อ ผมก็ถอนฟ้อง เพราะว่าผมรู้สึกว่าเข้าใจธรรมชาติอีกอยู่ดีว่าเมื่อมีสิ่งนี้เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขา แล้วในเมื่อผมกำมันไว้ มันเป็นหนามแล้วความแค้นมันอยู่กับผม เลือดมันก็ไหลอยู่ที่มือผม มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ผมรอวันขึ้นศาล คือก่อนหน้าจะบวชเรากำหนามนั้นไป แต่พอสึกออกมาแล้วผมมีความรู้สึกเข้าใจ ก็นัดคุยกันแล้วต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน เขาก็ขอโทษขอโพยซึ่งเราก็เข้าใจในมุมที่เขาทำเช่นกัน รวมถึงคนที่เข้ามาด่าแรงๆ ที่เรามีแพลนว่าจัดการแน่ ก็รู้สึกว่าช่องทางเดียวที่เขาพอจะระบายได้
เราก็มองอย่างเราเป็นตัวอย่างเช่นกันว่ามันมีข่าวที่เป็นประเด็นดังๆ ก่อนหน้านี้แล้วเวลาเราดู เราก็ตัดสินเขาทันที ซึ่งเราก็ยังเป็นเลย ฉะนั้นสึกมามันก็จะเข้าใจเรื่องนี้เยอะขึ้นกว่าเดิม คือก่อนหน้านี้จะเข้าใจธรรมชาติความเป็นคนของแต่ละคนมากอยู่แล้ว แต่สึกออกมาผมว่าหนักกว่าเดิม เข้าใจจริงๆ ครับ”
ปล่อยวางแล้ว?
“ปล่อยวาง และสิ่งสำคัญเลย เราตัดบางอย่างที่เราคิดว่ามันคือความจำเป็นกับตัวเราที่เราสมมติขึ้นมาเอง สมมติโทรศัพท์มือถือ ถ้าผมไม่เล่นโซเชียล ผมก็จะหายไปจากวงการใช่มั้ยครับ ผมจะไม่มีงานใช่มั้ย คือผมไม่เล่นโซเชียล ผมก็ยังมีงานนะครับ มันถูกพิสูจน์แล้วว่ามันจำเป็นในยามที่เราต้องใช้มันอย่างถูกที่ ถูกเวลา ถูกวิธี แค่นั้นเลย
พอเราไม่เล่นโซเชียลมันกลายเป็นว่าเรามีเวลาให้ตัวเองเยอะขึ้น อยู่กับลูกก็ไม่มีการหยิบโทรศัพท์จะเอาไว้ในรถ หรือแม้แต่อยู่บ้านเราก็จะวางโทรศัพท์ไว้แล้วอยู่ในห้องอัดทำงานของตัวเอง
กลายเป็นผู้ชาย 3 โบสถ์?
“มีคนบอก ผู้ชาย 3 โบสถ์ ผมจะอธิบายให้ฟัง คำว่าผู้ชาย 2 โบสถ์ เขาหมายถึงคนที่เปลี่ยน 3 ศาสนา หมายถึงพุทธไปอิสลามไปคริสต์ เขาเรียกว่าผู้ชาย 3 โบสถ์คบไม่ได้ แต่ทางพุทธเราจะบวช 10 ครั้งก็ได้ แต่ว่าพระที่ไปบวชล่าสุดท่านบอกว่าไม่ต้องมาแล้วนะ (หัวเราะ)“
เรื่องราวที่เกิดขึ้น?
“ตอนนี้สบายใจมากๆ แล้ว มันอยู่ในจุดที่นิ่งแล้ว พอได้คุยกันทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็ดำเนินหน้าที่ของเราต่อไป ดูแลลูกอย่างดีที่สุด”
เรื่องคดีความ?
“คือผมกับทางคุณจูนไม่มีอะไรแล้ว คือผมถอนฟ้องวันนั้นก็จบวันนั้น เซ็นใบหย่าเรียบร้อยก็จบวันนั้น ที่เหลือก็ตกลงเลี้ยงดูลูกร่วมกัน ก็เอาลูกมาอยู่กับผมบ้างในบางเวลาที่ผมว่างงาน”
ในส่วนที่จูนฟ้องคู่กรณี?
“อันนี้ผมไม่รู้เรื่องนี้เลยครับ ผมปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา เพราะตอนที่จูนไปฟ้อง เขาไม่ได้มีการปรึกษาผม ฉะนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางเขาไป”
ได้ติดตามความคืบหน้ามั้ย?
“ชีวิตผมแทบจะไม่ตามใครเลยครับ เมื่อกี้ยังคุยกับพี่ต่าย อรทัย เลยว่าเห็นจอเขาขึ้นมีแต่เด็กใหม่ๆ ยังคุยกับพี่ต่ายเลยว่าเขาคือใคร พี่ต่ายก็บอกใช่ เขาคือใคร คือสองเดือนกว่าๆ ที่สึกมาไม่ได้เล่นโซเชียล โลกมันไปไกลมากเลยนะ”
เรื่องแบ่งกันดูแลลูก ตกลงยังไง?
“แบ่งกันดูแล สิทธิ์ในการปกครองก็ร่วมกัน ส่วนผมก็จัดการดูแลความเป็นอยู่ของลูก ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ค่าเรียนเป็นส่วนของผมหมด”
จูนไม่ได้ติดใจอะไรตรงไหนแล้วใช่มั้ย?
“ไม่แล้วครับ ผมว่าก็เคลียร์ ผมรู้สึกว่ามันจะไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความโชคดีของผมคือลูกยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าถ้ามันยืดเยื้อไปกว่านั้นถ้าถึงวันนั้นผมว่าก็ไม่แน่ ผมว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ (ไม่อยากให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่มีปัญหากัน?) ใช่ครับ”
แผลในใจที่มีก็คือหายไป?
“ผมไม่ได้รู้สึกโกรธ หรือรู้สึกอะไรเลยกับทางจูน อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้จักกันมานานแหละ และเป้าหมายคือพอเรามีลูก เรื่องสำคัญที่สุดคือลูก ผมกำลังเริ่มเดินทางใหม่ หมายถึงเริ่มก่อร่างสร้างตัวใหม่ก็เพื่อน้องมินแหละ สุดท้ายก็เพื่อลูกนั่นแหละ บ้านที่เคยซื้อร่วมกันกับคุณจูนผมก็ให้ลูก ผมก็ออกมาซื้อใหม่ ทุกอย่างจริงๆ แล้วทั้งหมดแหละ หมายถึงอสังหาทั้งหมด ก็คือวางแผนเผื่อเขาไว้หมดแล้ว”
ขยับขยาย ซื้อรถใหม่ บ้านใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่?
“ใช่ๆ เริ่มต้นใหม่ รูปแบบใหม่ คืออยู่กับตัวเองเยอะขึ้น ผมจะบอกยังไงดีตอนที่บวชผมคิดผมคิดได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าใครโตมาในยุคที่ไม่มีโซเชียล วงสังคมจะมีแค่สมมติบ้านเรามี 5 คน ก็จะมีเพื่อนของครอบครัวเรา มากไปกว่านั้นก็คือเพื่อนข้างบ้าน มันน้อยมากเลยนะ เรารับรู้เรื่องของคนแค่นี้
แต่ในปัจจุบันผมเปิดเฟซมามีคนตาม 2.8 ล้าน มีคนพยายามคอมเมนต์เราเยอะแยะเลย ทีนี้พอสึกออกมาผมก็เลยพยายามทำแบบนั้น พยายามกลับไปแบบเด็กที่ผมรู้จักสังคมแค่นั้น แค่ครอบครัวหรือเพื่อนของพี่ชาย แล้วเราเลยรู้สึกว่ามันน้อยลงมันอดไม่ได้ที่บางทีเราดูข่าวแล้วเอามาเป็นเรื่องของเรา มันอดคิดไม่ได้”
พอไม่เสพ พลังลบก็น้อยลง?
“มาก ลดไปมากครับ และมันมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น”
ตอนนี้ทำงานก็เก็บเงินเองแล้ว?
“เก็บเงินเองมาได้ประมาณปีนึงแล้ว ปีนิดๆ แล้ว (บริหารการเงินเอง?) จริงๆ ผมมีทีมบัญชีอยู่ ก็ต้องวางแผนเยอะๆ แต่ส่วนมากผมไม่ค่อยทำอะไรหรอก สมมติผมอยากได้รถ อยากได้บ้านก็ซื้อไปแล้ว เดี๋ยวแต่งบ้านให้เสร็จ ก็อยู่แถวๆ นี้แหละ ค่าเทอมลูกก็แพง ค่าใช้จ่ายลูกเยอะ ผมเลยจะวางแผนแค่นี้ไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีแรงร้องเพลงอีกแค่ไหน ช่วงเวลาที่มีก็อยากจะเก็บไว้เยอะๆ”
หลายคนก็บอกว่าออกมาตั้งตัวได้รวดเร็ว?
“ครับ งานมีตลอดอยู่แล้ว และทำให้เราต้องรีบวางแผน เราจะเป็นเจ้าไร้ศาลไม่ได้ เราไปอยู่บ้านแม่มั่ง คอนโดมั่ง แต่มันเป็นที่ๆ เรารู้สึกว่ามันไม่เป็นที่ๆ เรารู้สึกอยากอยู่ ก็เลยวางแผนมีบ้านตัวเอง ทำห้องทำงานของตัวเอง มันเลยจำเป็นต้องออกมา และต้องรีบลุกให้ไวด้วย เพราะก่อนหน้านี้ผมจะไม่ร้องเพลงแล้ว สึกมาผมจะไม่ร้องเพลงแล้ว ผมมีความรู้สึกว่า ก่อนหน้าที่จะมีสึนามิเข้า
ผมมีอาการนึง ผมเกือบจะไม่ได้ต่อสัญญากับแกรมมี่ ไม่ใช่ว่ามีปัญหากันนะ แต่ตอนเป็นนักร้องเดี่ยว ผมมีเป้าหมายผมอยากเป็นนักร้องเดี่ยวที่สำเร็จ เป็นคนหนึ่งของประเทศไทย อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ อยากได้รางวัล แล้วเหมือนเราตั้งโกล์ไว้แค่นั้น แล้วเราทำหมดแล้ว และกลับรู้สึกว่าเราเราต้องทำอีกภูเขานึงเหรอ ผมไม่มีฟีลไปต่อ ไม่ได้หมดไฟ บางวงมีฝันอยากไปราชมังฯ แต่ผมไม่มีนะ ผมมีคอนเสิร์ตใหญ่จัดที่อิมแพคไปแล้ว ผมเหมือนจบแค่นั้น แล้วพอสึนามิเข้ามาเราที่รู้สึกว่าไม่อยากเดินทางอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่อยากเดินทางหนักขึ้นไปอีก”
ความรู้สึกนั้นมันคลายไปแล้ว?
“ไม่คลายครับ ยังเป็นอยู่ (หัวเราะ) แล้วได้คุยกับผุ้จัดการกับน้องๆ ไม่แน่ใจว่าเขาดูออกไหมว่าผมเหมือนจะไม่ไปต่อแน่เลย ก็คุยไปคุยมาก็เออเอาอีกร้อบเว้ย ก็เลยว่าบ้านกับรถคือไม่ได้จะโชว์นะ แต่การลงวันนั้นมันเหมือนลั่นกลองรบกวนนะ ไปเว้ยหนุ่มไปต่อ แค่นั้นเลย หลังจากนั้นก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ บิวต์ตัวเอง และก็มีความสุขกับมันครับ”
เป้าใหม่ตอนนึ้ ราขมังคลาฯ หรือยัง?
“ไม่ๆ เป้าใหม่ตอนนี้คือให้อัลบั้มผมปล่อยได้สักที (หัวเราะ) เพราะว่าครั้งที่แล้วปล่อย “เอาคืนมา” สึนามิเข้าลูกหนึ่ง รอบที่สองปล่อย “อวยพรสุดท้าย” สึนามิเข้ามาอีกลูกหนึ่ง แล้วเพลงมันเหมือนหายไปเลย เจอสึนามิซัดไป พอคลี่คลายก็มามีเพลงกับลาบานูนมันก็เริ่มโผล่มาให้เห็นว่าฉันมีผลงานและทำให้คนเริ่มกลับมาฟังเพลงผม เลยคุยกับค่ายว่าต้นปีหน้าจะปล่อยเพลง เพราะเพลงทำไว้หมดแล้ว”
แผนปล่อยเพลงคือต้นปี?
“ครับ ทำเป็นอัลบั้มเต็มเลยครับ และเป็นอัลบั้มสุดท้าย จากนี้คุยกับค่ายแล้ว เพิ่งต่อสัญญาไปว่าจะไม่ทำอัลบั้ม จะทำเป็นซิงเกิล เพราะผมสนุกกับช่วงเวลาที่เป็นซิงเกิลมากว่าทำอัลบั้มครับ”