จากเหตุการณ์สุดช็อกในฟุตบอล ยูโร 2020 ซึ่ง คริสเตียน อิริกเซ่น นักฟุตบอลทีมชาติเดนมาร์ก วูบหมดสติในเกมกับฟินแลนด์ ก่อนจะได้รับการปฐมพยาบาลอย่างทันท่วงที และรายงานข่าวระบุว่า นักเตะชื่อดังฟื้นคืนสติ และสามารถพูดคุยได้ปกติแล้ว โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบอาการและต้นเหตุเพิ่มเติม

ล่าสุด นพ.อี๊ด ลอประยูร ที่ปรึกษา คลีนิกเวชศาสตร์ทางการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และแนะนำการปฐมพยาบาลในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ว่า

“ภาวะฉุกเฉินที่เป็นอันตรายต่อนักกีฬาในสนามแข่งขัน:

ข้อสังเกตที่ควรทราบ

1. กรณีนี้จะเห็นว่านักกีฬาไม่มีการปะทะอย่างรุนแรงกับใคร ขณะกำลังวิ่งอยู่แล้วล้มหน้าคว่ำลงทันที

2. ลักษณะแบบนี้ให้นึกถึงหัวใจหยุดเต้นแบบเฉียบพลันไว้ก่อนได้เลย

3. อาจเป็น Heat Stroke, โรคชัก, โซเดี่ยมในเลือดต่ำ, กลูโคสในเลือดต่ำ ฯลฯ แต่โรคพวกนี้ไม่สำคัญรีบด่วนเท่าการที่หัวใจหยุดเต้นซึ่งจะเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

4. กรรมการผู้ตัดสินในสนามท่านนี้มีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี กวักมือเรียกทีมแพทย์ทันทีแม้จะยังเข้าไม่ถึงตัวนักกีฬา แสดงว่าต้องทราบลักษณะแบบนี้อันตรายเพียงใด แต่ถึงแม้กรรมการไม่เรียกถ้าทีมแพทย์เห็นสามารถวิ่งเข้าไปได้เลยไม่ต้องรอ

5. เพื่อนนักกีฬาเข้าถึงตัวนักกีฬาและเข้าไปพยายามช่วยเหลือ *** ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง** (ยกเว้น จะเคยได้รับการอบรมหรือมีความเชี่ยวชาญจริง) เพราะการไปขยับเขยื้อน เช่น อ้าปากพลิกตัวแบบผิดๆอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมจนถึงเป็นอัมพาติหรือเสียชีวิต

6. การล้มแบบไม่รู้สึกตัวศีรษะฟาดพื้นอย่างแรงในขณะเล่นกีฬาอาจเกิดกระดูกคอแตกหักได้ ไม่ควรขยับเขยื้อนคนไข้จนกว่าจะแน่ใจ ในรายนี้ทีมแพทย์ที่เข้าไปช่วยก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนนักกีฬาในทันที

7. สิ่งแรกคนแรกที่ไปถึงควรทำคือการทำให้ศีรษะไม่ขยับโดยการใช้มือสองข้างจับที่ด้านข้างศีรษะนักกีฬาไว้ให้อยู่นิ่งๆ (ในกรณีที่ไม่เกี่ยวกับการเล่นกีฬาอาจไม่จำเป็นต้องทำ)

8.ขั้นตอนต่อไปคือการหาว่านักกีฬาหมดสติหรือไม่ โดยการตบบ่าและเรียกถามให้ตอบ ถ้าเงียบให้ถือว่าหมดสติ ไม่ต้องจับชีพจรหรือดูการหายใจใดๆทั้งสิ้น เตรียมปั๊มหัวใจทันที

9.ถ้าเป็นนอกการแข่งขัน สิ่งที่ต้องทำก่อนการปั๊มคือการเรียกหาคนมาช่วยเพิ่มเติมหรือให้คนตามรถพยาบาลฉุกเฉิน แต่ในการแข่งขันกีฬาจะเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้แล้ว เห็นได้ว่าทีมยกเปลจะวิ่งเข้ามาพร้อมเปลสนามทันที

10.ถ้านอกการแข่งขันพร้อมๆกับการเรียกคนมาช่วยคือการเรียกหาเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า AED มาไว้ แต่ในการแข่งขันที่เตรียมตัวดีเช่นในครั้งนี้เครื่องจะมาพร้อมกับทีมแพทย์อยู่แล้วเช่นกัน

11. นักกีฬาที่ล้มคว่ำหน้าอยู่ การจะทำ CPR ต้องจับคนไข้ให้หงายขึ้น ต้องระวังอย่างยิ่งคือเรื่องกระดูกคอที่อาจหัก ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการทำที่ต้องผ่านการฝึกมาก่อน

12. วิธีการหงายใช้วิธี “พลิกท่อนซุงหรือ Log Roll” คือใช้คนถึงสามสี่คน คนนึงจับบริเวณศีรษะ อีกสองถึงสามคนจับแขนขาลำตัว เพื่อทำการพลิกหงายให้พร้อมกันตามสัญญานที่นัดหมายโดยให้ลำตัวกับศีรษะพลิกไปด้วยกันเป็นท่อนเดียว

13. เมื่อหงายคนไข้แล้ว คนที่จับศีรษะต้องจับอยู่นิ่งๆต่อไป ในขณะที่คนอื่นให้เริ่มการปั๊มหัวใจด้วยมือที่กลางหน้าอกทันที

14. เปิดฝาเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า แปะขั้วไฟฟ้าตามรูป จากนั้นดำเนินการเกี่ยวกับการทำ CPR with AED ต่อไป

15. อาจใส่ Collar ถ้ามีและใส่เป็น ถึงจะใส่แล้วคนจับศรีษะก็ยังควรประคองศีรษะคนปั๊มก็ต้องปั๊มต่อไปจนกว่าคนไข้จะรู้สึกตัวหรือเมื่อรถพยาบาลมาถึงและรับช่วงนำคนไข้ไปรักษา.

** การช่วยชีวิตนักกีฬาในสนามแข่งขันต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญการฝึกฝน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นักกีฬาหรือกรรมการ ก็สามารถช่วยได้หากได้รับการฝึกฝนและมีการฝึกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ**

***ทีมแพทย์ไม่ได้มีไว้พร้อมเสมอไป โดยเฉพาะเวลาการซ้อมซึ่งมีแต่นักกีฬาและโค้ชอยู่กันเอง ทุกคนในทีมกีฬาควรผ่านการฝึกสิ่งเหล่านี้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่โค้ชนักกีฬาและผู้ดูแลทีมส่วนใหญ่ไม่เห็นความสำคัญคิดแต่ว่าเป็นเรื่องของแพทย์สนามเท่านั้น อยากขอร้องให้ควรจะสนใจใคร่เรียนรู้กันไว้บ้างนะครับ**

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน