สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือนที่ 31.46 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนปลายสัปดาห์ โดยเงินบาททยอยอ่อนค่าลง ขณะที่เงินดอลลาร์ ปรับตัวขึ้นตามบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีของสหรัฐ หลังดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐ ที่เพิ่มมากกว่าคาดในเดือนพ.ค. ทำให้ความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ ยังแข็งค่าได้ต่อเนื่อง หลังการประชุมเฟดรอบล่าสุดส่งสัญญาณเตรียมถอยออกจากมาตรการทางการเงินเชิงผ่อนคลาย ซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า อาจมีการเริ่มชะลอ QE ในปีหน้า และตามมาด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566 ในวันศุกร์ (18 มิ.ย.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.43 เทียบกับระดับ 31.08 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (11 มิ.ย.)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (21-25 มิ.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.20-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนพ.ค. ผลการประชุมนโยบายการเงินและประมาณการเศรษฐกิจไทยของกนง. สถานการณ์และแผนการกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 ในประเทศ
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคา PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/64 (ครั้งที่ 3) นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ ดัชนี PMI เดือนมิ.ย. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐ และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ของธนาคารกลางจีนด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยร่วงลงเกือบตลอดสัปดาห์ โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,612.98 จุด ลดลง 1.44% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 92,767.00 ล้านบาท ลดลง 6.28% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.11% มาปิดที่ 505.51 จุด หุ้นไทยร่วงลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ ตามแรงกดดันในหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับทบทวนเพดานสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียน หลังรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน หุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ ก่อนจะร่วงลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หลังเฟดส่งสัญญาณอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าเดิม นอกจากนี้ แผนการกระจายวัคซีนในประเทศที่ยังมีความท้าทายก็เป็นปัจจัยลบต่อหุ้นไทยเช่นกัน
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (21-25 มิ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,600 และ 1,585 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,625 และ 1,635 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (23 มิ.ย.) ตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. ของไทย สถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนโควิด-19 ในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงรายระเอียดเกี่ยวกับแผนการเปิดประเทศ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน อัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก Core PCE Price Index และรายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ค. ตลอดจนดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนมิ.ย. (เบื้องต้น) ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนมิ.ย. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนมิ.ย. ของจีน