รัฐบาลแก้แห ยิ่งยื้อก็ยิ่งไม่จบ

รัฐบาลแก้แห ยิ่งยื้อก็ยิ่งไม่จบ – นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณสำหรับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ ในโอกาสที่ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2562 ความว่า

“ขอถือโอกาสนี้ ให้พรให้ท่านมีกำลังใจ ความมั่นใจ และความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ได้ตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สุขและความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน งานใดๆ ก็ต้องมีอุปสรรค งานใดๆ ก็ต้องมีปัญหา เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องแก้ปัญหา และเข้าหางาน เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามสถานการณ์ โดยแก้ไขให้ตรงเป้าตรงจุด และมีความ เข้มแข็งอดทน ก็ขอให้คณะรัฐมนตรีและรัฐบาลได้มีกำลังใจ มีพลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ด้วยความถูกต้องต่อไป”

ต่อมาวันที่ 28 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งได้ประทานพระโอวาทใจความสำคัญ ดังนี้

“ฝ่ายบริหารย่อมมีหน้าที่สำคัญในการทำนุ บำรุงบ้านเมืองไทยให้เป็นปกติสุขร่มเย็น มีความมั่นคงปลอดภัยและเจริญก้าวหน้าในทุกด้านการกระทำหน้าที่ตามตำแหน่งที่ ดำรงอยู่ ย่อมต้องใช้อำนาจเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำงาน

จึงขอเน้นย้ำให้ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกอบรมตนให้มีสติระลึกรู้เป็นเครื่องกำกับการกระทำ ทางกายและวาจาอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเหลิงอำนาจ หรือ หลงอำนาจ จนนำไปสู่การกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า สติสัมปชัญญะเป็นธรรมอันมีอุปการะมากเพราะฉะนั้นการทำงานในทุกระดับหากมีสติ เป็นเครื่องระลึกมีสัมปชัญญะเป็นเครื่องรู้ตัว ให้สามารถเหนี่ยวรั้งจิตใจตนอยู่เสมอแล้ว ความผิดพลาดก็จะไม่เกิดขึ้น หรือหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง ก็จะสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงมากขึ้นจนเหนือการควบคุม

ขอให้ทุกท่านจงมีสติสำนึกรู้ไว้เสมอว่า ความชอบด้วยกฎหมายและความชอบธรรมแห่งฐานะที่ดำรงอยู่ คือ อำนาจที่แท้จริง

อำนาจไม่อาจเกิดได้โดยชอบหากไม่มีรากฐานจาก คุณธรรม จึงขอให้ทุกท่านมั่นคงในคุณธรรม จริยธรรมของความเป็นผู้ใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ อดทน และพากเพียร ในการประกอบกรณียกิจเพื่อจรรโลงสถาบันหลักของชาติ และประชาชนให้รุ่งเรืองไพบูลย์สืบไป”

ทั้งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และพระโอวาทสมเด็จพระสังฆราช เป็น สิ่งที่นายกฯ และรัฐมนตรีทุกคน ต้องน้อมรับใส่เกล้าฯ ไว้เป็นเครื่องกำกับสติเตือนใจในการทำงานบริหารประเทศชาติต่อไป

กล่าวถึงเรื่องขวัญกำลังใจเป็นสิ่งที่ รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการมากที่สุดเวลานี้ โดยเฉพาะต่อปัญหากรณีถวายสัตย์ไม่ครบ ที่ชัดเจนว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล ประชาชนขาดความเชื่อมั่น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในที่ประชุมครม. 27 ส.ค. หลังพิธีรับพระราชทานพระราชดำรัส ว่า

ไม่ว่าเหตุข้างนอกเป็นอย่างไร ขอให้ครม.ทำงานด้วยความเข้มแข็ง มั่นใจ อย่าวอกแวกในสิ่งใด ถ้าหากอะไรจะเกิดก็ให้เกิด แต่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเกิด เรามีหน้าที่และมีอำนาจในขณะที่ปัญหาบ้านเมืองมาจ่ออยู่อย่างนี้ ก็ต้องทำไปแก้ไป ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า นายกฯ และรัฐบาลพยายาม ทำอะไรหลายสิ่งอย่างเพื่อจบปัญหานี้ให้ได้ แต่ผล กลับออกมาตรงข้าม เข้าทำนองลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง นั่นเพราะรัฐบาลแก้ไม่ตรงจุด แก้ผิดวิธีที่ควรจะเป็น

รัฐบาลแก้แห ยิ่งยื้อก็ยิ่งไม่จบ

กรณีถวายสัตย์เข้าสู่ 2 ไฮไลต์สำคัญ

ไฮไลต์แรก เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย

การที่นายกฯ กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิเสรีภาพ ของนายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ น.ศ.มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ยื่นคำร้องหรือไม่

ถึงนายกฯ จะชี้แจงว่าได้ถวายสัตย์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอนโดยสมบูรณ์

แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 5 ระบุ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

ดังนั้น เมื่อนายกฯ กล่าวถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน จึงเป็นการกระทำขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ การปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ และครม.มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย

ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีมติส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนต่อไปว่า เมื่อผู้ตรวจการฯ ส่งเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลจะพิจารณาว่ารับหรือไม่รับ โดยไม่มีกำหนดเวลาพิจารณา ในอดีตเคยมีที่ส่งไปแล้วศาลไม่รับ

แต่ถ้ารับ ก็ต้องส่งเรื่องกลับมาให้รัฐบาลชี้แจงภายใน 15 วัน เช่นเดียวกับการพิจารณาเรื่องคุณสมบัติการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนพิจารณา เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับศาล ยกตัวอย่างกรณีการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ถึงวันนี้การวินิจฉัยยังไม่ออกมา ทราบว่าศาลจะวินิจฉัยในวันที่ 18 ก.ย.

สังคมจับตาดูศาลรัฐธรรมนูญจะจัดการเผือกร้อนในมือนี้อย่างไร

ก่อนไปถึงขั้นตอนการชี้ขาดโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

ขั้นตอนการนำเรื่องนี้เข้าสู่การหารือ ซักถามในสภากลับรุดหน้าต่อเนื่อง เมื่อ วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯ เผยว่าได้ทำหนังสือไปยังรัฐบาล แจ้งให้ทราบถึงญัตติของฝ่ายค้าน

ในการขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 แล้ว พร้อมประสานรัฐบาลกำหนดวันอภิปราย โดยคาดว่าจะมีขึ้นก่อนปิดสมัยประชุมรัฐสภา 18 ก.ย. เพื่อจะได้ไม่ต้องเปิดประชุมสมัยวิสามัญ

ประธานสภาเชื่อว่านายกฯ จะต้องมา ด้วยตัวเอง เพราะเป็นหน้าที่ตามวิถีทางประชาธิปไตย ส่วนมากแล้วจะมอบหมาย ให้รัฐมนตรีคนใดชี้แจงแทนถือเป็นสิทธิ์

พรรคร่วมฝ่ายค้านเจ้าของญัตติเห็นว่า วันศุกร์ที่ 6 ก.ย. เหมาะสมมากที่สุดในการกำหนดให้เป็นวันอภิปราย สอดรับกับความเห็นของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ

ฝ่ายค้านเรียกร้องเงื่อนไขให้นายกฯ ต้องมาตอบสภาด้วยตนเอง และไม่ขัดข้องหากรัฐบาลมีเหตุผลยอมรับได้ในการเสนอ ขอเปิดประชุมลับในช่วงอภิปรายกรณี คำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน

แต่ล่าสุดเป็นข่าวร้ายของฝ่ายค้าน เนื่องจาก วันที่ 6 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์มีคิวต้อนรับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะ ต่อด้วยเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์พิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 51

ถัดไปวันศุกร์ 13 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ก็มีโปรแกรมเดินทางไปเป็นประธานจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวสมุย “Samui Festival” จ.สุราษฎร์ธานี และติดตามงานด้านการอาชีวศึกษา

เท่ากับไม่มีความชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไปตอบญัตติในสภาได้ด้วยตัวเองหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดวันอภิปรายชัดเจน

แต่จะว่าไป เรื่องกำหนดวันอภิปรายไม่ใช่สิ่งน่าห่วง เพราะถึงเป็นเรื่องต้องหารือประสานกันระหว่างสภากับรัฐบาล แต่หากมีการเกี่ยงหรือตกลงกันไม่ได้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาจะเป็นผู้ตัดสิน

กรณีถวายสัตย์ที่เป็นเรื่องยืดเยื้อมานานนับเดือน

ฝ่ายค้านเพียงหยิบยกประเด็นขึ้นมา แต่ถ้าถามถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาที่แท้จริงคือใคร คำตอบเป็นที่รับรู้กันอยู่ ซึ่งเป็นคนเดียวกับคนที่จะทำให้เรื่องนี้ จบได้นั่นเอง

ส่วนจะจบสวย หรือจบไม่สวย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

..อ่าน..

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน