ภาวะหมดไฟทำงาน อาการเครียดที่ควรรักษา

คอลัมน์ ข่าวสดสุขภาพ

ภาวะหมดไฟทำงาน อาการเครียดที่ควรรักษา : ข่าวสดสุขภาพ ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า เป็นอาการป่วยที่มีผลมาจากความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงานและควรได้รับการ ดูแลจากแพทย์ก่อนรุนแรงและคุกคามการใช้ชีวิต

ดังนั้น การหมั่นสังเกตสัญญาณอาการและรู้เท่าทันโรคจะช่วยให้รับมือได้อย่างถูกวิธี ก่อนสายเกินไป อาจส่งผลเป็นโรคทางสมอง บางรายอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าได้

ภาวะหมดไฟทำงาน

นพ.อโณทัย สุ่นสวัสดิ์

จิตแพทย์ ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ภาวะหมดไฟในการทำงาน คือ ภาวะหนึ่งที่เกิดจากการเผชิญกับความเครียดในที่ทำงานเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ ที่เป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานและไม่ได้รับการจัดการอย่างมี ประสิทธิภาพ จนขาดแรงจูงใจ หดหู่ ไม่มีสมาธิในการทำงาน ลามไปจนประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

 

นอกจากนี้ภาวะหมดไฟยังเป็นภาวะที่ทำให้คนคนนั้น สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้

ภาวะหมดไฟแบ่งลักษณะอาการออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกหมดพลัง 2.มีทัศนคติเชิงลบต่อความสามารถในการทำงานของตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสำเร็จ

3.ประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง คนไข้จะรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่าทำงานได้ไม่ดี ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความสัมพันธ์ในที่ทำงานเหินห่างหรือเป็นไปทางลบทั้งกับผู้ร่วมงานและลูกค้า ซึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัจจัยสุ่มเสี่ยงที่บอกว่ากำลังเข้าสู่ ภาวะ Burn out syndrome ได้เช่นกัน

ภาวะหมดไฟทำงาน

อาการหมดไฟ เบื้องต้นสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เช่น หากรู้สึกว่าทำงานมากเกินไป ควรหันมาให้เวลากับตัวเองให้มากขึ้น เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารตามเวลา หาเวลาไปท่องเที่ยวพักผ่อน อาจสร้างตารางชีวิตประจำวันใหม่ให้มีความหลากหลายในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น แต่สิ่งที่ยากคือ ความร่วมมือในระดับองค์กร องค์กรต้องตระหนักว่าภาวะหมดไฟเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งคนทำงานและองค์กร

การจัดการภาวะหมดไฟในการทำงาน คือ ไม่ทำงานหักโหมมากเกินไป ไม่นำปัญหาที่ทำงานสะสมไปที่บ้าน เปิดใจฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับในความแตกต่าง รู้จักขอความ ช่วยเหลือและปฏิเสธอย่างเหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ มองหา ที่ปรึกษาที่รับฟังและแนะนำได้ หรือปรึกษาแพทย์

นพ.อโณทัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้คนไทยจำนวน 1 ใน 5 มีทุกข์ เป็นทุกข์ที่ส่งกระทบไปทั้งทางกายและทางจิตใจ บางคน ไม่รู้ว่าจะต้องหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ ภาวะหมดไฟในการทำงาน โรควิตกกังวล หรือคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น หลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็ง โรคปอด ลมชัก ผู้สูงอายุที่เป็นโรคสมองเสื่อม พาร์กินสัน เป็นต้น

คนไข้เหล่านี้อาจต้องเผชิญกับภาวะเครียดกับโรคที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญคือกำลังใจในการต่อสู้กับโรคที่เกิดขึ้น

นพ.อโณทัยกล่าวด้วยว่า ศูนย์จิตรักษ์ ร.พ.กรุงเทพ มีกิจกรรมบำบัดเพื่อการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพจิต ประกอบด้วยจิตบำบัด หลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบรายกลุ่มและรายบุคคล โดยบุคลากรที่มีประสบการณ์ กิจกรรมถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการและความถนัดของแต่ละคน หลายกิจกรรมยังช่วยให้ค้นหาศักยภาพและคุณค่าในตนเอง เพื่อการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข ให้คนไข้อยู่กับโรคได้อย่างมีความสุข ไม่เครียด ให้เข้าใจมากขึ้น โดยมีแพทย์และทีมสหวิชาชีพคอยดูแลการทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน