“เสถียร จันทิมาธร”

หากมองจากสถานการณ์เมื่อโจโฉยึดจงหยวนได้อย่างเกือบจะเบ็ดเสร็จ เล่าปี่ได้รับผลสะเทือนจากการเติบใหญ่ เข้มแข็งของโจโฉอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้พ้น

เมื่อถอยร่นลงใต้มาพึ่งใบบุญของเล่าเปียว

สถานะของเล่าปี่จึงขึ้นอยู่กับปัจจัย 1 คือ โจโฉ ปัจจัย 1 คือ เล่าเปียว และปัจจัย 1 ซึ่งมิอาจปฏิเสธได้ คือ ซุนกวน

สามก๊กฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า

ฝ่ายโจโฉครั้นได้สุมาอี้มาไว้เป็นที่ปรึกษา และสุมาอี้นั้นเป็นบุตรสุมาหอง เจ้าเมือง โฮโล่ โจโฉนั้นมีใจกำเริบให้หาขุนนางแลทหารมาปรึกษาว่า

“จะยกทัพไปตีหัวเมืองชายทะเลให้อยู่ในเงื้อมมือเราจงสิ้นท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด”

แฮหัวตุ้น จึงว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าเล่าปี่อยู่ ณ เมืองซินเอี๋ย ซ่องสุมผู้คนแล้วซ้อมหัดทหารให้ชำนาญไว้เป็นอันมาก ถ้าจะละไว้นานไปจะกำจัดเล่าปี่นั้นขัดสน ขอให้เร่งแต่งทัพไปตีเมืองซินเอี๋ยเสียก่อนแล้วจึงคิดการต่อไป”

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้แฮหัวตุ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้ ลิเตียน อิกิ๋ม แฮหัวอัน ฮันโฮ นายทหาร 4 คนนี้เป็นปลัดทัพ คุมทหาร 10 หมื่นจะให้ยกไปตีเมืองซินเอี๋ย

ซีซี จึงว่าแก่แฮหัวตุ้นว่า “ท่านจะไปทัพครั้งนี้อย่าประมาทดูเบาแก่เล่าปี่ ด้วยเล่าปี่ได้ขงเบ้งมาไว้เป็นที่ปรึกษา อุปมาเหมือนเสืออันคะนองอยู่ในป่าใหญ่ท่านเร่งระวังตัวให้จงดี”

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยอยู่จึงถามว่า “ขงเบ้ง” นั้นคือผู้ใด

สามก๊กสำนวน วรรณไว พัธโนทัย ระบุซีซีว่า “ท่านอย่าหมิ่นเล่าปี่ ทุกวันนี้เล่าปี่ได้จูกัดเหลียงมาเป็นกำลังเปรียบเสมือนเสือติดปีกเข้าแล้ว”

โจโฉถามว่า “จูกัดเหลียงเป็นใคร”

ซีซีตอบว่า “จูกัดเหลียงมีสมญานามว่า ขงเบ้ง มักเรียกกันว่า อาจารย์ฮกหลง เป็นผู้มีสติปัญญาล้ำลึก เป็นเทวดา และผีอยู่ในคนเดียวกัน เป็นยอดมนุษย์แห่งยุคของเราจริงๆ ขอท่านอย่าดูแคลนเขาเป็นอันขาด”

โจโฉถามว่า “เปรียบกับท่านเป็นอย่างไร”

ซีซีตอบว่า “อย่าเอาข้าพเจ้าไปเปรียบกับขงเบ้งเลย ข้าพเจ้านั้นอุปมาดังแสงหิ่งห้อย ส่วนขงเบ้งอุปมาดั่งแสงพระจันทร์ก็ว่าได้

แฮหัวตุ้นร้องว่า “ซีซีพูดปดมดเท็จ ข้าพเจ้าเห็นว่า ขงเบ้งนั้นอุปมาดั่งผักหญ้า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หากข้าพเจ้ายกไปไม่สามารถจับเป็นเล่าปี่กับขงเบ้งมาได้ ก็ขอมอบศีรษะของข้าพเจ้าแก่ท่านสมุหนายกแทน”

โจโฉจึงว่า “ขอให้ท่านรีบแจ้งข่าวดีมาถึงเราเร็วๆ เราจะได้สบายใจ”

ฝ่ายเล่าปี่นับแต่ได้ขงเบ้งมาอยู่ด้วยแล้ว ก็ให้การยกย่องขงเบ้งเป็นอย่างสูง นับถือเป็นอาจารย์จริงๆ กวนอูกับเตียวหุย ไม่พอใจจึงพูดกับ เล่าปี่ว่า

“ขงเบ้งอายุยังน้อย ถึงจะมีความรู้วิเศษสักปานใด ไฉนท่านพี่จึงยกย่องจนเกินควร”

เล่าปี่พูดว่า “เราได้ขงเบ้งมาเสมือนหนึ่งปลาได้น้ำแล้วขอน้องทั้ง 2 อย่าพูดมากไปเลย”

กวนอูกับเตียวหุยได้ยินเล่าปี่พูดเช่นนั้น ก็มิกล้าต่อล้อต่อเถียงอำลาออกมา วันหนึ่งมีคนเอาหางจามรีมาให้เล่าปี่ เล่าปี่เอาหางนั้นมาปักหมวกเป็นเครื่องประดับ ขงเบ้งมาเห็นเข้าก็หน้าเปลี่ยนสีทักว่า

“นี่ท่านเลิกคิดการใหญ่ข้างหน้าแล้วหรือ จึงเอาธุระแต่เรื่องพรรค์นี้”

เล่าปี่รีบโยนหมวกนั้นลงที่พื้นแล้วว่า “ข้าพเจ้าทำเล่นเพลินๆ พอคลายความกลุ้มใจเท่านั้น”

ขงเบ้งถามว่า “กำลังของท่านกับโจโฉพอเทียบกันได้ไหม”

เล่าปี่ตอบว่า “ไม่ได้เลย”

ขงเบ้งถามอีกว่า “กำลังทหารของท่านมีไม่กี่พันคน ถ้าทัพใหญ่ของโจโฉยกมาท่านจะรับศึกอย่างไร”

เล่าปี่จึงว่า “ข้าพเจ้ากลุ้มใจก็ด้วยเรื่องนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี”

ขงเบ้งพูดว่า “ขอจงเร่งเกณฑ์ทหารเข้าประจำการ ข้าพเจ้าจะฝึกอาวุธให้สามารถต่อสู้ต้านทานข้าศึกได้”

สามารถจึงสั่งระดมผู้คนในอำเภอซินเอี๋ยได้ 3,000 ขงเบ้งลงมือฝึกอาวุธตั้งแต่เช้าจดเย็นทุกวัน

ครั้นมีคนเข้ามาแจ้งว่า โจโฉให้แฮหัวตุ้นนำทหาร 10 หมื่นมุ่งมาตีซินเอี๋ยแล้ว เตียวหุยรู้ข่าวก็พูดกับกวนอูว่า

“เราให้ขงเบ้งออกไปสู้ศึกก็แล้วกัน”

แม้เมื่อเล่าปี่สอบถามกวนอูกับเตียวหุยโดยตรงว่า “เราจะสู้ศึกอย่างไรดี” เตียวหุย ถามว่า “ทำไมท่านพี่ไม่ใช้น้ำไปสู้เล่า”

ความหมายของคำว่า “น้ำ” ของเตียวหุยหมายความว่า “ขงเบ้ง”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน