“เสถียร จันทิมาธร”
คนส่วนใหญ่เห็นการสนทนาระหว่าง เล่าปี่ ขงเบ้ง กับ โลซก ก็คล้อยตาม “ปลายปากกา” อันหลอก้วนจงกำหนดวางเอาไว้อย่างแยบยล
เห็นได้จากสามก๊กฉบับวณิพก “ขงเบ้งผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร” ของ “ยาขอบ”
“การก็เป็นไปดังที่ขงเบ้งคาดหมายไว้ทั้งสิ้น พอโลซกซักไซ้ไต่ถามถึงเรื่องที่คาบเกี่ยวกับสงครามโจโฉ ขงเบ้งจึงถูกเรียกออกมา และต้อนหน้าต้อนหลังที่ปรึกษาชั้นผู้ใหญ่ของซุนกวนเสียพักเดียว ขงเบ้งก็มีโอกาสข้ามมากังตั๋งกับโลซก
“ด้วยลักษณะอิดออดภายนอกไม่เต็มใจ หากขัดมิได้ แต่ภายในนั้นหฤหรรษ์ยืนดีเป็นที่สุดที่แล้วทีเดียว”
หากดูจาก “หน้าม่าน” อันหลอก้วนจงวาดไว้จาก “ปลายปากกา” ก็เป็นเช่นนั้น
กระนั้น หากพิจารณาอย่างเปรียบเทียบกับ “นโยบายบนยี่ภู่” หรือ “ยุทธศาสตร์บนตั่ง” อันโลซกเคยบรรยายแลกเปลี่ยนกับซุนกวนเมื่อแรกที่ได้พบและรู้จักกันเมื่อปี ค.ศ.200 ก็จะรู้ว่าแนวทางของโลซกกับแนวทางของขงเบ้งเป็นอย่างเดียวกัน
เพียงแต่โลซก ซื่อๆ ตรงๆ และตรงไปตรงมามากกว่า ขณะที่หากกล่าวทางด้านเล่าปี่ ขงเบ้ง ก็มากด้วยเชิงชั้น มากด้วยกระบวนท่า
ทั้งๆ ที่ในที่สุดแล้ว “เป้าหมาย” ก็บรรลุทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อเขียนหนังสือชุดสามก๊กฉบับคนเดินดินว่าด้วย “แหวะหัวใจซุนกวน” ในตอนว่าด้วยโลซก “เล่าชวนหัว” ให้ความเห็นว่า
ใครๆ ก็มองว่า โลซกเป็นคนซื่อตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น แต่โลซกมีข้อที่น่าตำหนิอยู่อย่างหนึ่ง คือ ตรงเกินไปในบางประการ เขาเชื่อถือและยึดมั่นในตัวเล่าปี่มากเกินไปจนไม่ยอมตอบรับกับความจริงว่า โจโฉถึงแม้จะไม่มีสกุลรุนชาติสูงส่งเท่าเทียมกับที่เล่าปี่อ้างว่าตัวเองเป็น แต่โจโฉสมควรได้รับการสนับสนุนมากกว่าในฐานะรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีความตั้งใจทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าเล่าปี่มากนัก
โลซกปักใจเชื่อว่า เล่าปี่คือคนที่ถูกต้องทำนองคลองธรรมสมควรแก่ตำแหน่งฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น จึงเสนอให้ซุนกวนผูกไมตรีกับเล่าปี่ตลอดเวลา
อันนี้แหละที่โลซกดำเนินนโยบายผิดอย่างใหญ่หลวง จึงเป็นคนที่ตรงจนทื่อและมองว่าเป็นคนถูกหลอกได้ง่าย ขาดศิลปะของนักบริหาร ถ้าโลซกไม่ไปหลงติดกับเรื่องชาติตระกูลของเล่าปี่และมีสายตาที่มองโลกกว้างกว่านี้เหมือนกับน้ำใจที่กว้างขวางของเขาแล้ว
โลซกจะเป็นคนที่น่าคบหาสมาคมเป็นเพื่อนตายได้ดีอีกคนหนึ่งรองลงไปจากจูล่ง
ประการต่อมาที่ทำให้ โลซกมักเสียเปรียบในการคบกับคนอื่นก็คือ เขาเป็นคนที่เจ็บแล้วไม่ค่อยจำและมีน้ำใจให้อภัยแก่ผู้อื่นเสมอแม้กระทั่งคนที่เคยหลอกเขา ซึ่งหน้าอย่างขงเบ้ง เล่าปี่ กวนอู อาจเป็นเพราะเกิดมามีช้อนเงินช้อนทองอยู่ในปากทำให้ค่อนข้างจะมองคนในแง่ดี
น่าจะเรียกว่าเป็นพระเวสสันดรในยุคสามก๊ก ใครมาขออะไรก็ให้ทั้งนั้น ไม่เคยนึกเสียดมเสียดาย
หากตรวจสอบคำสนทนาอันเป็นเหมือน “อนุสาสน์” ซึ่งโลซกให้ไว้กับซุนกวนเมื่อแรกพบกันในปี ค.ศ.200 ก็จะประจักษ์ในความแจ่มชัดของโลซก
สำนวน วรรณไว พัธโนทัย ถอดคำพูดของโลซกออกมาว่า
“ตามความเห็นอันต่ำต้อยของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าราชวงศ์ฮั่นไม่มีทางที่จะดำรงยืนต่อไปได้อีกแล้ว การซึ่งเราคิดจะกำจัดโจโฉในขณะนี้ยังทำไม่ได้ ท่านควรจะบำรุงรักษาฐานะของท่านไว้ให้มั่นคง และถือโอกาสในขณะที่ทางด้านเหนือของเรากำลังวุ่นวาย ยกทัพไปกำจัดหองจอกับเล่าเปียวเสียก่อน ท่านก็จะเป็นใหญ่ตลอดลำน้ำนี้ (แยงซีเกียง) แล้วจึงค่อยตั้งตนเป็นฮ่องเต้หรือเป็นอ๋องครองใต้ฟ้าเสียเองต่อไป”
ไม่มีตรงไหนที่จะยอมรับอำนาจของโจโฉ
เป้าหมายของโลซกเฉพาะหน้าคือ 1 การสร้างความแข็งแกร่ง มั่นคงให้กับกังตั๋ง และ 1 การขยายกรอบแห่งอำนาจไปยึดเกงจิ๋ว ขณะเดียวกัน 1 ก็ไม่ปฏิเสธความแข็งแกร่งซึ่ง โจโฉมีเหนือกว่า
การสามัคคีกับเล่าปี่คือกลยุทธ์สำคัญที่โลซกเสนอต่อซุนกวนเพื่ออาศัยกำลังของเล่าปี่มาร่วมต่อต้านการรุกเข้ามาของโจโฉ
การดึงขงเบ้งให้เดินทางไปกังตั๋งคล้ายกับว่าเป็นไปตามแผนที่ขงเบ้งกำหนดและเสนอต่อเล่าปี่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง
ก็มาจากความริเริ่มของโลซก ก็มาจากความปรารถนาลึกๆ ของซุนกวน
หากไม่คิดอย่างนี้ก็คงไม่เดินทางมาหาเล่าปี่ หากไม่คิดอย่างนี้คงไม่นำเอาชื่อของ จูกัดกิ๋นมาเป็นเหตุผลในการนำขงเบ้งหรือจูกัดเหลียงให้เดินทางไปยังกังตั๋ง
ขงเบ้งมีความลึกล้ำ โลซกก็มีความลึกล้ำ