“เสถียร จันทิมาธร”
ประเด็นที่ที่ปรึกษายกขึ้นมาอย่างเป็นการจำเพาะคือ เน้นให้เห็นความอ่อนแอของทัพเล่าปี่ เน้นให้เห็นความพ่ายแพ้และถอยร่นเป็นลำดับของทัพเล่าปี่
ดังตอนหนึ่งในคำพูดของเตียวเจียวที่ว่า
“พอทัพโจโฉยกมากลับทิ้งเสื้อเกราะและศัสตราวุธเตลิดหนีหัวซุกหัวซุน จำต้องทิ้งอำเภอซินเอี๋ยเตลิดหนีไปเมืองอ้วนเสี้ยว ต้องเสียทัพที่เมืองตงหยงเตลิดหนีไปปากน้ำ กังแฮแทบจะหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้”
ดังตอนหนึ่งในคำพูดของยีหวนที่ว่า
“ทุกวันนี้โจโฉมีกำลังทหารนับร้อยหมื่น มีขุนทัพนับพัน ประดุจดั่งมังกรอาละวาดเสือจะเข้ากลืนกินเมืองกังแฮ ท่านแตกทัพที่เมืองตงหยงต้องหนีไปซุกหัวอยู่ที่ปากแม่น้ำกังแฮ แล้วเที่ยวอ้อนวอนขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือเช่นนี้จะพูดไปไยว่าทหารร้อยหมื่นไม่น่าเกรงขาม”
ดังตอนหนึ่งในคำพูดของซีหองที่ว่า
“อันราชวงศ์ฮั่นตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ฟ้าจะสิ้นอยู่แล้ว ท่านโจโฉครองใต้ฟ้าถึง 2 ใน 3 ส่วน อาณาประชาราษฎร์มีความนิยมยินดีสนับสนุน ท่านเล่าปี่มิได้แจ้งในข้อเท็จจริงหาญจะสู้กับกำลังอันแข็งแกร่งก็เสมือนเอาไข่ไปกระทบหินจะไม่ฉิบหายพ่ายแพ้อย่างไรได้เล่า”
เป็นการพูดแสดงให้เห็นความเข้มแข็ง เกรียงไกรของโจโฉ เป็นการพูดแสดงให้เห็นความอ่อนแอ ถอยร่นของเล่าปี่
ทั้งหมดนี้ขงเบ้งตอบโต้อย่างร้อนแรง ถึงพริกถึงขิง ท่วงทำนองคล้ายจะถ่อมตัวแต่ก็มาก ด้วยความแข็งกร้าว
หากตัดทอนและนำมาเรียบเรียงก็จะมองเห็นภาพได้
อันเล่าปี่นายของข้าพเจ้าเมื่อเสียทีแก่โจโฉที่เมืองยีหลำต้องมาพักพิงเล่าเปียวอยู่นั้นมีกำลังทหารอยู่ไม่ถึงพัน มีทหารเอกอยู่เพียง 3 คน คือ กวนอู เตียวหุยและจูล่งเท่านั้น เหมือนดั่งคนไข้หนัก ร่างกายอ่อนแอปวกเปียก
แต่เรายังสามารถเผาทัพโจโฉพินาศลงได้ที่ทุ่งพกบ๋อง และไขน้ำในแม่น้ำแปะโหขยี้ทัพ โจโฉเสียทั้งหมด
ท่านเล่าปี่มีทหารซึ่งจงรักภักดีอยู่เพียงจำนวนพันไฉนจะต้านทัพร้อยหมื่นได้ในทันทีทันใด
ซึ่งเราถอยมาอยู่ที่ปากแม่น้ำกังแฮก็เพื่อ รอคอยจังหวะ ทุกวันนี้กังตั๋งมีทหารฝีมือดีมากมาย เสบียงอาหาร ก็เพียบพร้อมบริบูรณ์ ทั้งยังมีแม่น้ำแยงซีเกียงขวางกั้นมั่นคงอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนคิดอ่านให้นายของตนไปคุกเข่ายอมสวามิภักดิ์ต่ออ้ายมหาโจรเสียแล้วหามีความละอายใดๆ ภายในใต้ฟ้านี้เลย
เมื่อเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่า เล่าปี่นายเรา ไม่เคยหวาดหวั่นอ้ายโจรโจโฉอย่างพวกท่าน
ผิดกับคนขี้ขลาดซึ่งกลัวคนเก่งก็กลั่นแกล้งคนอ่อนแอ กลัวจะถูกมัดก็รีบหลบคมกระบี่ พวกท่านนี้เพียงแต่ได้ยินวาจาหลอกลวงของโจโฉก็กลัวตัวสั่นยอมสวามิภักดิ์เสียแล้ว
อ้ายโจโฉน่ะหรือก็คืออ้ายจอมโจรปล้นราชบัลลังก์
อันบรรพบุรุษของอ้ายโจโฉและตัวอ้ายโจโฉเองได้ดีมีวาสนามาก็ด้วยราชวงศ์ฮั่นชุบเลี้ยง ทั้งสิ้นแต่มันหาได้คิดสนองพระเดชพระคุณแต่อย่างใดไม่ยังกลับคิดคดทรยศเสียอีก
ใครๆ ในใต้ฟ้าล้วนเจ็บแค้นทุกคน
ทุกวันนี้อ้ายโจโฉวางอำนาจบาตรใหญ่ ข่มเหงคะเนงร้ายเจ้านาย ไม่รู้คุณคน จึงเท่ากับทำลายเกียรติคุณและทำความเสื่อมเสียให้แก่บรรพบุรุษของตน เป็นขุนนางที่นำภัยพิบัติมาสู่ราชวงศ์ฮั่น เป็นลูกโจรแห่งตระกูลโจ
ส่วนท่านเล่าปี่นั้นเป็นเสมือนหนึ่งกระเพาะขององค์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ปัจจุบันพระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้ตามศักดิ์ของแซ่ ไฉนท่านจึงบังอาจพูดว่าไม่มีหลักฐานพยานอันใดเล่า
อันพระเจ้าฮั่นโกโจซึ่งเป็นปฐมบรมกษัตริย์นั้นเล่าก็เป็นใครมาจากไหน ทีแรกก็เป็นแต่เพียงนายด่านคนหนึ่ง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในใต้ฟ้า
ไฉนท่านจึงเห็นว่าอาชีพทอเสื่อและถักเชือกฟางขายเป็นของน่าละอายเล่า
ความคิดอย่างเด็กไร้เดียงสาของท่านนั้นไม่เหมาะที่จะอาจเอื้อมมาพูดจากับปวงปราชญ์ผู้ทรงความรู้สึกได้เลย
อันผู้เป็นปราชญ์นั้นมีทั้งปราชญ์ดีและปราชญ์สถุล ปราชญ์ดีย่อมมีความจงรักภักดีต่อเจ้านายและบ้านเมืองของตน รักความชอบธรรม ชังความชั่ว ตั้งหน้าทำนุบำรุงประชาชนของตนให้มีความสุขความเจริญ
ทิ้งไว้ซึ่งชื่อเสียงเกียรติคุณให้ปรากฏชั่วลูกชั่วหลาน
ส่วนปราชญ์สถุลนั้นหมกมุ่นอยู่แต่งานขีดๆ เขียนๆ ซึ่งไร้สาระ ยามหนุ่มดีแต่แต่งกลอน ยามแก่ดีแต่แก่ตำรา ปลายปากกาสามารถขีดเขียนตัวหนังสือเป็นพันๆ ตัวแต่จะมีหัวคิดอันใดแม้แต่นิดก็หาไม่ ปราชญ์ประเภทนี้จึงเรียกว่าปราชญ์สถุล
ถึงจะเขียนหนังสือวันละกี่หมื่นตัวก็หาประโยชน์อันใดมิได้