“เสถียร จันทิมาธร”

สามก๊กสำนวน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า ที่ปรึกษาทั้งปวงเห็นขงเบ้งตอบถ้อยคำมิได้เพลี่ยงพล้ำแก่ผู้ใด ต่างคนต่างก็แลดูตากันแล้วก็นิ่งอยู่

สำนวน วรรณไว พัธโนทัย ไม่มี “ประโยค” นี้

สำนวน พญ.กัลยา สุพันธุ์วณิช ระบุว่า บรรดาคนทั้งหลายเห็นขงหมิงโต้ตอบคล่องแคล่วต่างพากันหน้าเสีย

อุยกายจึงร้องเข้าไปว่า “คนทั้งปวงนี้หาอัชฌาสัยไม่ จะมาถุ้งเถียงกับขงเบ้งผู้มีสติปัญญาจะประสงค์อันใด โจโฉยกกองทัพมาจะทำร้ายแก่บ้านเมือง ไม่ช่วยกันคิดอ่านป้องกันภัยเล่ามาชวนกันรุมว่าแก่ขงเบ้งผู้เป็นแขกเมืองมานี้ควรแล้วหรือ”

แล้วจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า “ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ว่าท่านมีสติปัญญา เหตุใดท่านมิเอาถ้อยคำของท่านไปเจรจาด้วยนายข้าพเจ้าจะมาเจรจาด้วยคนทั้งปวงนี้จะต้องการอะไร”

ขงเบ้งจึงว่า “คนทั้งปวงมิได้รู้จักลักษณะดีแลชั่วชวนกันมารุมถามเนื้อความจะให้เราจนครั้นจะนิ่งเสียเล่าก็มิได้จึงว่าตอบไปทั้งนี้”

ขณะนั้นอุยกายกับโลซกจึงพาขงเบ้งเดินเข้าไปจากที่ข้างนอกจะเข้าไปหาซุนกวน

พอพบจูกัดกิ๋นขงเบ้งก็คำนับตามประเพณี จูกัดกิ๋นจึงถามว่า “น้องเรามาถึงเมือง กังตั๋งนี้แล้วเหตุใดจึงมิไปหาพี่”

การพบระหว่างจูกัดกิ๋นกับจูกัดเหลียงสำคัญ แต่ความสำคัญอยู่ที่ขงเบ้งกับโลซก

โลซกจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า “ที่ข้าพเจ้าว่าไว้แก่ท่าน อย่าลืมเลย” ขงเบ้งพยักหน้าแล้วก็เข้าไปข้างใน

การพบระหว่างขงเบ้งกับซุนกวนครั้งนี้สำคัญ

ซุนกวนแลเห็นโลซก อุยกาย พาขงเบ้งเข้ามาดังนั้นก็ลุกออกมารับขงเบ้งเข้าไปให้นั่งที่ใกล้ระหว่างขุนนางทั้งปวง

ขงเบ้งคำนับตามประเพณีแล้วจึงคิดว่า

“ซุนกวนมีลักษณะเข้มข้น จักษุก็แดง หนวดแดง เป็นคนมีบุญแต่ว่าน้ำใจจะดื้อดึงอันจะเจรจาสุภาพเห็นจะมิได้ ชอบแต่เจรจายุ แม้จะไต่ถามถึงเนื้อความโจโฉก็ว่าให้โกรธขึ้นจึงจะได้”

สำนวน วรรณไว พัธโนทัย ระบุว่า ขงเบ้งนำความคารวะจากเล่าปี่บอกเล่าให้ซุนกวนทราบแล้วก็พินิจพิจารณาดูลักษณะของซุนกวนอย่างสงบเสงี่ยม เห็นซุนกวนมีตาสีมรกต หนวดเคราสีม่วง ขงเบ้งคิดในใจว่า

“ลักษณะของท่านผู้มีมิใช่คนธรรมดา ต้องใช้การเจรจาด้วยถ้อยคำรุนแรง หากใช้ถ้อยคำสุภาพจะไม่ได้ผล เราต้องคอยให้ซุนกวนเอ่ยปากก่อนจึงค่อยพูด”

สำนวน พญ.กัลยา สุพันธุ์วณิช ถอดออกมาว่า

“คนนี้ลักษณะไม่ธรรมดา ต้องพูดยั่วโมโหไม่ใช่พูดโน้มน้าว รอให้เขาถามมาข้าจะยั่วให้เขาโมโห”

สํานวน วรรณไว พัธโนทัย บรรยายว่า เมื่อดื่มน้ำชาแล้วซุนกวนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าพเจ้าได้ยินโลซกพูดถึงสติปัญญาความสามารถของท่านเป็นอันมาก เป็นบุญเหลือเกินที่ได้พบท่านในวันนี้ ขอท่านจงอนุเคราะห์ให้คำสั่งสอนอันเป็น คุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้าด้วย”

ขงเบ้งตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่มีสติปัญญาความสามารถอย่างนั้นดอก ซึ่งจะทระนงบังอาจสั่งสอนท่านนั้นหาควรไม่”

ซุนกวนพูดว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ท่านได้ช่วยเล่าปี่กระทำศึกกับโจโฉที่ซินเอี๋ย ท่านคงจะต้องรู้กำลังทหารของโจโฉเป็นอย่างดี”

ขงเบ้งตอบว่า “กำลังทหารของเล่าปี่มีน้อย ทั้งนายทหารก็มีไม่มาก ซ้ำซินเอี๋ยเป็นเมืองเล็ก เสบียงอาหารขาดแคลน จะสามารถต้านทัพโจโฉนานๆ ได้อย่างไร”

ซุนกวนถามว่า “โจโฉมีกำลังทหารสักเท่าไร”

ขงเบ้งตอบว่า “ทั้งทัพบก ทัพเรือ และทัพม้ามีกำลังประมาณ 100 กว่าหมื่น”

ไม่ว่าสำนวน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่ว่าสำนวน พญ.กัลยา สุพันธุ์วณิช เรียบเรียงออกมาตรงกับสำนวน วรรณไว พัธโนทัย

ทั้งหมดนี้เสมอเป็นเพียง “นำร่อง” เข้าทำนอง “เลาะเลียบแคมห้วย”

บทสนทนาอย่างแท้จริงอยู่ในขั้นต่อไป เมื่อเป้าประสงค์อันแน่วแน่ของซุนกวนคือ ต้องการรู้กำลังพลของโจโฉ ขณะที่ขงเบ้งเองก็มี “วาระซ่อนเร้น” อันเป็นผลประโยชน์ของก๊กเล่าปี่

เป้าประสงค์นี้ระหว่างโลซกกับขงเบ้งสอดรับกัน

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้โลซกก็ปูพื้นฐานในทางความคิดเอาไว้กับซุนกวนอย่างเต็มเปี่ยมว่าสมควรจะเลือกหนทางใด

คำถามอยู่ที่ว่าซุนกวนจะเดินเข้าจุดที่ขงเบ้งวางดักเอาไว้หรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน