“เสถียร จันทิมาธร”

สํานวน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงว่า “ซึ่งท่านจะคิดสู้โจโฉนั้นก็เหมือนน้ำใจของข้า”

จิวยี่จึงตอบว่า

“อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงมาตรว่าจะตายในสงครามก็มิได้คิด ปรารมภ์ถึงท่านกลัวแต่จะไม่แน่นอน”

ซุนกวนจึงชักเอากระบี่ออกแล้วฟันลงที่มุมโต๊ะประกาศเป็นอาญาสิทธิ์ไว้ว่า “ผู้ใดจะมาว่าให้เราไปคำนับโจโฉก็จะตัดศีรษะเสีย”

ทำดังนั้นแล้วก็ยื่นกระบี่มอบให้แก่จิวยี่เป็นแม่ทัพหลวง ให้เทียเภาเป็นปลัด “ผู้ใดมิได้อยู่ในบังคับบัญชาก็ให้ตัดศีรษะเสีย”

จิวยี่คำนับรับเอากระบี่แล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า

“บัดนี้ เราได้อาญาสิทธิ์แล้ว ผู้ใดอย่าประมาทต่อหน้าที่ที่จะทำการรบพุ่งโจโฉครั้งนี้ จงไปพร้อมกันชายทะเล ถ้าผู้ใดขาด ช้าอยู่ จะเกณฑ์เอาราชการมิทันเราจะเอาโทษแก่ผู้นั้น”

ว่าแล้วก็ลาซุนกวนออกมา

เมื่ออ่านสามก๊กสำนวนใหม่ วรรณไว พัธโนทัย สถานการณ์เดียวกันนี้กลับมี รายละเอียดบางประการเพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

นั่นก็คือ

ซุนกวนทอดสายตาไปที่จิวยี่ โดยพลันจิวยี่ก็ลุกขึ้นแล้วว่า “อ้ายโจรเฒ่า คิดอ่านล้มล้างราชวงศ์ฮั่นมานานแล้ว ประสงค์จะตั้งตนเป็นใหญ่

“คนที่มันกลัว คือ อ้วนสุด อ้วนเสี้ยว ลิโป้ เล่าเปียวและตัวข้าพเจ้า

“บัดนี้ท่านผู้กล้าหาญทั้งหลายทั้งปวงก็สูญสิ้นไปหมดแล้วเหลือแต่ตัวข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าขอสาบานว่า ไม่อ้ายเฒ่าทรยศก็ตัวข้าพเจ้าจะต้องตายไปข้างหนึ่ง ซึ่งท่านพูดว่าเราควรรบกับมันนั้นต้องใจข้าพเจ้านัก ฟ้าส่งท่านมาช่วยข้าพเจ้าแท้ๆ”

จิวยี่ประกาศว่า “ข้าพเจ้าจะสู้ตายเอาชัยชนะมาให้ท่านให้จงได้ จะไม่ท้อถอยเป็นอันขาดเกรงอยู่แต่ว่าท่านจะโลเลล่าช้าอยู่เท่านั้น”

ซุนกวนชักดาบซึ่งคาดอยู่ออกมาฟันมุมโต๊ะที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าแล้วร้องประกาศเป็นอาญาสิทธิ์ว่า

“ขุนนางผู้ใดยังคงให้เรายอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉจะต้องเจอดีเหมือนโต๊ะตัวนี้”

แล้วซุนกวนมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้จิวยี่ ประกาศตั้งจิวยี่เป็นแม่ทัพใหญ่ ให้เทียเภาเป็นปลัดทัพ ให้โลซกเป็นองครักษ์ ให้อำนาจจิวยี่ใช้ดาบอาญาสิทธิ์ประหารผู้ซึ่งขัดคำสั่งได้ทุกคน

จิวยี่รับดาบแล้วจึงปราศรัยต่อที่ประชุมขุนนางว่า “ข้าพเจ้าได้รับอาญาสิทธิ์จากนายของเราให้นำท่านทั้งหลายไปกำจัดอ้ายโจโฉ ขอให้ขุนนางทุกท่านไปพร้อมกัน ณ ด่านชายน้ำวันพรุ่งนี้เพื่อรับคำสั่งไปปฏิบัติ ผู้ใดมาสายหรือขัดคำสั่งจะต้องถูกลงโทษตามบทพระอัยการศึกว่าด้วยข้อห้าม 7 ประการและบทลงโทษ 54 ประการ”

สั่งแล้วก็คำนับลาซุนกวนออกจากที่ว่าราชการ

เมื่อตรวจสอบผ่านสำนวนแปล พญ.กัลยา สุพันธุ์วณิช ก็พบว่า ซุนเฉวียนดีใจว่า “ไอ้โจรชั่วอยากตั้งตนเป็นฮ่องเต้นานแล้วแต่ยังเกรง 2 หยวน หลิวปู้ หลิวเปียว แล้วก็ข้า ตอนนี้พวกนั้นตายไปหมดเหลือแต่ข้าที่ยังอยู่

“ข้ากับไอ้โจรเฒ่าอยู่ร่วมกันไม่ได้ ที่ท่านว่าจะทำศึกเหมือนใจข้าคิด ฟ้าส่งท่านมาให้กับข้า”

เป็นอันว่าสำนวนแปล วรรณไว พัธโนทัย ดำเนินไปในลักษณะกำกวม กลายเป็นปัญหาเนื่องจากวรรคตอนในการพิมพ์

ที่ว่า “ซุนกวนทอดสายตาไปที่จิวยี่ โดยพลันจิวยี่ก็ลุกขึ้นแล้วว่า”

ไม่น่าจะใช่

ที่น่าจะใช่มากกว่าคือ “ซุนกวนทอดสายตาไปที่จิวยี่ โดยพลันซุนกวนลุกขึ้นแล้วว่า” จึงจะถูกต้องกับความเป็นจริงมากกว่า

เมื่ออ่านอย่าง “ประสาน” เข้ากับสำนวนแปล พญ.กัลยา สุพันธุ์วณิช จึงกระจ่าง

เป็นความกระจ่างซึ่งมิได้สะท้อนว่าเป็นความผิดพลาดในเชิงแปล หากแต่ 1 น่าจะเป็นความผิดพลาดในการเรียงประโยค และ 1 น่าจะเป็นความผิดพลาดในทางเทคนิค

เป็นเทคนิคทางด้าน “การพิมพ์” และ “การพิสูจน์อักษร”

กระนั้น ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดคือ ความเป็นเอกภาพในทางความคิดระหว่างซุนกวนกับจิวยี่ เมื่อ 2 คนนี้ไปในแนวทางเดียวกัน

ย่อมสมตามความต้องการของโลซกครบถ้วน

แน่นอน ไม่เพียงแต่โลซกซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกังตั๋งจะคิดอย่างนี้ หากแม้กระทั่งขงเบ้งซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ก็คิดอย่างนี้

กลายเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างซุนกวน เล่าปี่ เพื่อต่อกรกับโจโฉ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน