“เสถียร จันทิมาธร”

สํานวน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า ขณะเมื่อเสพสุราอยู่นั้นโลซกครั่นคร้ามมิได้เงยหน้าขึ้นดูกวนอู ให้แต่คนใช้รินสุราให้กิน กวนอูเสพสุราพลางมิได้คิดย่อท้อ พูดจาถึงการรบพุ่งแล้วหัวเราะเล่น

โลซกคอยชำเลืองดูเห็นกวนอูใกล้เมาจึงว่า “เรามีความข้อหนึ่งจะขอเจรจาด้วยท่าน”

กวนอูจึงถามว่า “ท่านจะว่าสิ่งใด”

โลซกจึงว่า “เดิมซุนกวนให้เราทวงเมืองเกงจิ๋วถึง 2-3 ครั้ง เล่าปี่ยังขัดสนอยู่ว่าจะยืมเมืองเกงจิ๋วไว้เป็นที่อาศัยก่อนต่อได้เมืองเสฉวนแล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ เนื้อความทั้งนี้เราได้ประกันไว้ต่อซุนกวน บัดนี้เล่าปี่ก็ได้เมืองเสฉวนแล้ว ซึ่งจะหวงเมืองเกงจิ๋วไว้นั้นไม่ควร”

กวนอูจึงตอบว่า “ท่านให้มีหนังสือไปหาเรามาจะกินโต๊ะเล่นบัดนี้เป็นหน้าเหล้าหน้าข้าวอยู่ ซึ่งท่านจะเอาการบ้านเมืองมาว่านี้ไม่ควร จงนิ่งเสียก่อนเถิด”

สะท้อนให้เห็นความครั่นคร้ามของโลซก

สะท้อนให้เห็นความองอาจ หาญกล้าของกวนอู

สำนวน วรรณไว พัธโนทัย แปลอาการตัดบทของกวนอูออกมาว่า “เรื่องการบ้านการเมืองจะเอามาพูดจากันหน้าเหล้าหน้าข้าวอย่างนี้”

ที่ควรให้ความสนใจคือสำนวน “หน้าเหล้า หน้าข้าว”

แม้กวนอูจะพยายามตัดบท แต่ดูเหมือนว่าโลซกจะไม่สนใจ ตรงกันข้ามกลับดำรงจุดมุ่งหมายของตนอย่างมั่นแน่ว

โลซกจึงว่า “นายข้าพเจ้าว่า อันกังตั๋งมีเมืองขึ้นอยู่ไม่กี่แห่ง เห็นท่านกับเล่าปี่เสียทัพหันมาพึ่งก็มีใจสงสารจึงให้ยืมเมืองเกงจิ๋วเป็นที่อยู่อาศัยไปพลาง บัดนี้ท่านก็ได้แคว้นเอ๊กจิ๋วไว้ครอบครองแล้วก็ควรจะคืนเกงจิ๋วให้กับเจ้านายข้าพเจ้า

“แต่แล้วท่านเล่าปี่ขอคืนให้ก่อนเพียง 3 หัวเมือง แม้เพียง 3 หัวเมืองท่านสิยังไม่ยินยอม อย่างนี้จะสมเหตุสมผลละหรือ”

กวนอูจึงว่า “เมื่อครั้งมีศึกที่เมืองบุเหลงนั้นเราได้ฝ่าลูกเกาทัณฑ์และก้อนหิน ทุ่มเทกำลังสกัดกั้นข้าศึกอย่างเต็มที่ แผ่นดินเพียงน้อยนิดเท่านี้ให้เราอยู่ยังไม่คุ้มค่า ดอกหรือ ซึ่งจะมาเอาคืนเช่นนี้ดูกระไรอยู่”

โลซกจึงว่า “ท่านพูดเช่นนี้หาชอบไม่ เมื่อครั้งตัวท่านกับเล่าปี่แตกหนีมาจากทุ่งเตียงปันโบ๋นั้น แม้แต่จะหาแผ่นดินซุกหัวนอนก็ไม่มี นายเราเวทนาจึงให้มาอยู่เมืองเกงจิ๋วจนกว่าจะตั้งตัวได้ มิได้นึกเสียดายแผ่นดินแต่อย่างใด อันเล่าปี่เป็นคนดีมีศีลธรรมถือความสัตย์ บัดนี้ได้เมืองเสฉวนแล้วยังยึดเมืองเกงจิ๋วไว้อีก ทำเช่นนี้ย่อมเป็นการกลับสัตย์ คนทั้งหลายในใต้ฟ้าจะเย้ยหยันได้ขอท่านจงตรึกตรอง…ควรเถิด

กวนอูตอบว่า “เรื่องทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นการของเล่าปี่ใช่จะสิทธิ์ขาดอยู่กับข้าพเจ้าคนเดียวหามิได้”

โลซกพูดว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าท่านกับพระปิตุลาสาบานกันไว้ที่สวนท้อว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกัน ท่านกับพระปิตุลาจึงเป็นคนคนเดียวกันไฉนท่านจึงบิดพลิ้วเช่นนี้”

ยังมิทันที่กวนอูจะกล่าวตอบโต้ไปจิวฉองก็สอดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

“แผ่นดินในใต้ฟ้านี้เป็นสมบัติของผู้ทรงคุณธรรม ไฉนจะต้องเป็นสิทธิ์ของเมืองง่อแต่ฝ่ายเดียวเล่า”

กวนอูได้ฟังดังนั้นใบหน้าก็ถอดสี

ลุกขึ้นคว้าง้าวที่มือจิวฉองแล้วยืนหยัดอยู่กลางห้อง ทอดสายตามองจิวฉองพลางตวาดว่า

“เราพูดกันเรื่องการบ้านการเมืองไฉนเจ้าจึงบังอาจล่วงเข้ามาเจรจาด้วย จงรีบออกไปเสียเดี๋ยวนี้”

จิวฉองเข้าใจความหมายของกวนอูดี

จึงรีบไปที่ริมฝั่งน้ำ โบกธงแดงเป็นสัญญาณ พลันกองเรือของกวนเป๋งก็แห่เข้ามาราวห่าเกาทัณฑ์

เป็นไปตามแผนที่วางไว้

การเลี้ยงที่ปากน้ำลกเค้า การสนทนาระหว่างโลซกกับกวนอูอย่างที่กวนอูสรุปรวบยอดว่าเป็นการสนทนาในลักษณะ “หน้าเหล้า หน้าข้าว”

มีความสำคัญทั้งต่อแคว้นง่อ ทั้งต่อแคว้นจก

สะท้อนให้เห็นการตระเตรียมอย่างพร้อมมูลของฝ่ายกวนอู สะท้อนให้เห็นจุดอ่อนอันดำรงอยู่ในฝ่ายของโลซก ทั้งหมดล้วนดำเนินไปตามการบรรยายจากปลายพู่กันอันทรงพลานุภาพของหลอกว้านจงทั้งสิ้น

ยิ่งกว่านั้นยังถูกละเลยในเรื่อง “เนื้อหา” และการตอบโต้ไปอย่างเจตนา ทั้งๆ ที่มีความสำคัญเป็นอย่างสูง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน