ลูกสาว ขุนวนารักษ์ดำรง เล่าชีวิต ในบ้านโบราณร้อยปี เมืองแพร่ ที่โดนทุบ

วันที่ 17 มิ.ย. นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยว่า อาคารศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ อาคารเรือนไม้ 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมประยุกต์ ริมแม่น้ำยม สร้างตั้งแต่ ปี พ.ศ.2432 ซึ่งมีอายุ 131 ปี ถือเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาว จ.แพร่ มาหลายชั่วอายุคน แต่ในการปรับปรุงซ่อมแซม กลับเป็นการรื้อทำลาย โดยปราศจากการศึกษา หรือใช้หลักวิชาการในการอนุรักษ์ฟื้นฟูอาคารที่ถูกต้อง และไม่สอดคล้องกับนโยบายในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าแพร่

การดำเนินการนี้เป็นโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียนรู้การป่าไม้ สวนรุกขชาติเชตวัน จังหวัดแพร่ ซึ่งสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) เป็นเจ้าของโครงการ ใช้เงินทั้งหมด 4,560,000 บาท เริ่มโครงการวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 และสิ้นสุดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

อาคารดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับการทำอุตสาหกรรมป่าไม้ ของบริษัทบอมเบย์เบอร์มา เทรดดิ้ง จำกัด จากประเทศอังกฤษ และ บริษัทอีส เอเชียติค จำกัด จากประเทศเดนมาร์ก ได้เข้ามาตั้งสำนักงานที่อยู่อาศัยและใช้เป็นท่าน้ำล่องซุงจากแม่น้ำยมสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

ต่อมาได้ยกพื้นที่และอาคารให้กรมป่าไม้ ซึ่งได้ใช้เป็นที่ทำการและที่พักของป่าไม้ภาค ปัจจุบันตั้งอยู่ในสวนรุกขชาติเชตะวันในความดูแลของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่)

ล่าสุดวันที่ 16 มิ.ย.63 นางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด นายวรญาณ บุณราช เป็นประธานกรรมการ

นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาคารดังกล่าวเป็นบ้านที่สร้างให้เสริมศรี เอกชัย เติบโตและเข้มแข็ง เป็นนักข่าวนักหนังสือพิมพ์คนสำคัญของไทย ซึ่ง เสริมศรี เอกชัย เจ้าของนามปากกา”สนทะเล” ได้เขียนถึงชีวิตของตนเอง สมัยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ในฐานะลูกสาวของขุนวนารักษ์ดำรง (ทองคำ สุวรรณเกสร์) ป่าไม้ภาค ซึ่งมีบ้านหลังนี้เป็นบ้านประจำตำแหน่ง โดยเขียนว่า








Advertisement

ไม่มีใครรู้ดีกว่าดิฉันเลยว่า ไม่เคยมีความสุขที่ไหน จะเปี่ยมล้นพ้นสมบูรณ์ที่สุด เท่ากับชีวิตของดิฉัน เมื่อพ่อยังมีชีวิตอยู่ เมื่อดิฉันยังเป็นเด็ก

เมื่อดิฉันอยู่ที่เมืองแพร่

และเพราะความสมบูรณ์ยิ่งในชีวิตที่เคยได้รับมานี่เอง ที่เป็นกำลังใจให้ดิฉันสามารถยืนหยัดรับการคุกคามของเหตุการณ์ต่างๆมาได้…ผ่านชีวิตมาอย่างคนจองหองคนหนึ่ง ที่ไม่เคยคุกเข่าให้ใคร

ดิฉันผ่านชีวิตมาได้โดยไม่ทุกข์ก็เพราะว่า ดิฉันมีความรักเป็นเครื่องทดแทน มีชีวิตที่ผาสุกสมบูรณ์ในวัยเด็ก มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรักของญาติสนิทมิตรสหาย

ดิฉันจึงอยากเหลือเกิน ต้องการเหลือเกิน ที่จะช่วยให้เด็กๆมีความสุขในวัยเด็กของเขา เพราะรู้ดีว่าไม่มีความสุขในวัยไหน จะเท่าเทียมและตรึงตราอยู่ในหัวใจไปชั่วชีวิต เท่ากับความสุขในวัยเด็ก และความรักที่ได้รับเมื่อยังเป็นเด็ก

มันคือยาบำรุงหัวใจให้อ่อนโยน ให้เข้มแข็ง ให้มีเมตตาต่อผู้อื่น ที่ขาดแคลนความรักและความสุข ดิฉันคิดว่าที่โลกและสังคม มันวุ่นวายเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ขาดความอบอุ่นและความรักในวัยเด็กของเขาเป็นสาเหตุใหญ่ จึงตั้งหน้าที่จะทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่เพียงทำร้ายผู้อื่น แม้แต่พ่อแม่บุพการีของตนก็ยังทำร้ายจิตใจได้ และแม้แต่ลูกในไส้ของตัวเอง ก็ยังทำเสียจนลูกเกลียดได้ !!

คนพวกนี้ไม่เคยรู้จักว่า ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร เพราะว่าเขาไม่เคยมีความสุขในวัยเด็กอย่างดิฉัน…นี่เป็นความจริงนะคะ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน