“วงค์ ตาวัน”
คงจะโล่งอกหมดกังวลกันไปได้มาก สำหรับผู้คนในสังคมที่ห่วงใยชีวิตเสือดำ เมื่อพนักงานสอบสวนตำรวจหอบสำนวนเสนออัยการเพื่อพิจารณาส่งฟ้อง เจ้าสัวเปรมชัยกับคณะทั้ง 4 คน รวม 9 ข้อหา ในคดี บุกป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเพื่อล่าเสือดำและสัตว์ป่า ไปเรียบร้อยแล้ว
โดยพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง นำทีมไปพบอัยการด้วยตัวเอง
ถือว่าคดีคืบหน้าไปอีกขั้น จากนี้ก็ต้องรอการพิจารณารายละเอียดในสำนวนของอัยการ
ก่อนจะนำคดีขึ้นสู่ศาลเป็นขั้นต่อไป
ที่สำคัญการสรุปสำนวนในชั้นตำรวจ ก็ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากที่สืบสวนสอบสวนเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม วันแรก 9 ข้อหา ลงเอยก็เป็นไปตามนั้น อาจมีปรับแก้ในบางข้อหาก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย
แถมประเด็นความล่าช้า ที่กระแสโซเชี่ยลโหมถล่มอย่างหนัก กลัวว่าจะมีการถ่วงมีการยื้อเพื่อช่วยเหลือกัน
เอาเข้าจริงๆ คดีนี้ตำรวจใช้เวลาทำสำนวน 36 วัน ไม่ได้ล่าช้าอะไรเลย!!
อย่างว่า กระแสในโลกโซเชี่ยลนั้น มักจะฮือตามๆ กันไป พูดกันไปพูดกันมา ราวกับว่าตำรวจสั่งล้มคดีไปแล้ว เศรษฐีมีสตางค์พ้นคดีลอยนวลไปแล้ว
เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นดังที่หวาดหวั่นกัน
แถมวันที่ตำรวจนำสำนวนไปส่งอัยการนั้น ชาว โซเชี่ยลบางส่วนก็อาจจะมึนงง เพราะบางคนก็คิดกันไปแล้วว่า คดีนี้ล้มไปแล้ว เจ้าสัวพ้นข้อหาไปแล้ว อะไรทำนองนั้น!?!
เอาเป็นว่า ความสนใจอย่างจริงจังของคนในสังคมย่อมเป็นเรื่องดี
แล้ววันนี้ กระบวนการยุติธรรมชั้นต้นก็ทำหน้าที่ได้เรียบร้อยตามปกติ
แล้วพูดกันจริงๆ คนจับจ้องทั้งบ้านทั้งเมืองขนาดนี้ ถ้ามีตำรวจคนไหนคิดจะบิดเบี้ยวเพื่อช่วยเหลือเศรษฐีผู้ต้องหา
ก็คงมีแต่ตำรวจสติไม่ดีเท่านั้นแหละ
เท่าที่ดูจากข้อเท็จจริง คดีนี้ตำรวจมีพยาน 51 ปาก หลักฐานและวัตถุพยานที่ตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ 28 รายการ 225 ชิ้น เอกสารสำนวน 857 แผ่น
คงไม่ใช่คดีที่หละหลวมแน่ๆ
ส่วนข้อหาเรื่องล่าสัตว์ฆ่าสัตว์ เป็นข้อหาที่ตำรวจ ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรก ก็ยังคงดำรงอยู่
คงไม่สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับนักอนุรักษ์คนดัง ไม่ต้องเป่านกหวีดพามวลชนลงท้องถนน ตามที่ประกาศก้องเอาไว้หรอก!?
เมื่อตำรวจสรุปสำนวนได้แน่นหนาและส่งถึง อัยการไปเรียบร้อยแล้วเช่นนี้ คงหลุดพ้นจากกระแสโจมตีไปได้
แต่สำหรับเจ้าสัวเปรมชัย ตอนนี้ต้องเตรียมตัวเป็นจำเลยในชั้นศาลอย่างจริงจัง
ส่วนความเป็นจำเลยสังคมนั้น คงยากจะหลุดพ้น
ต้องเป็นทั้งจำเลยในศาลและจำเลยสังคม!
