นับแต่ต้นปี 2566 การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางส่วนใหญ่เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
แม้ล่าสุดในช่วงต้นเดือนมิ.ย.2566 ธนาคารโลกได้ออกมาปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2566 ขึ้นมาเป็น 2.1% จาก 1.7% ในการประเมินรอบต้นปี แต่ยังเป็นทิศทางที่ชะลอตัวลงจากปี 2565 ซึ่งขยายตัวที่ 3.1% สำหรับในระยะต่อไปในปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 2.4%
ทั้งนี้ ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จากแรงกดดันด้านราคาและอัตราดอกเบี้ย
สำหรับภาพเศรษฐกิจโลกในครึ่งหลังปี 2566 หากประเมินจากปัจจัยด้านมหภาคของประเทศต่างๆ ที่สำคัญ ปัจจุบันพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก กลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจแผ่วลง แต่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อได้ อาทิ 1.เศรษฐกิจสหรัฐ ที่แม้การส่งออกสินค้าและความต้องการสินค้าในประเทศชะลอลง แต่ตลาดแรงงานโดยรวมที่ยังเข้มแข็งและเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้โดยรวมกำลังซื้อยังมีอยู่ และ 2.เศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น รวมทั้งเศรษฐกิจไทย มีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่องจากการบริโภคในประเทศและภาคบริการ แต่แรงส่งในครึ่งปีหลังอาจแผ่วลงบ้าง ส่วนการผลิตและการ ส่งออกสินค้ามีทิศทางชะลอตัวลงสอดคล้องกับภาวะการค้าโลก
กลุ่มที่ 2 กลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเปราะบางอยู่ อาทิ 1.เศรษฐกิจอังกฤษ กำลังประสบภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจชะงักงัน โดยเกิดความเปราะบางทั้งในด้านการส่งออกและการบริโภค รวมถึงอัตราการว่างงานสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และ 2.เศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งปัจจุบันแรงส่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจชะงักงัน ทั้งจากการส่งออกสินค้าที่ชะลอตัวลง และการบริโภคภายในภูมิภาคที่หดตัวต่อเนื่อง ค่าครองชีพ และการเร่งขึ้นของดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ECB หรือธนาคารกลางสหภาพยุโรป
จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี จึงทำให้เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงผ่านการชะลอตัวในภาคการส่งออกสินค้า ซึ่งกระทบต่อระดับการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าที่มีคำสั่งซื้อจากกลุ่มยุโรป มีแนวโน้มลดลงชัดเจนในปัจจุบัน (มีสัดส่วน 10.8% ของการส่งออกไทยทั้งหมด) เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบเหล็กกล้า
รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปอาจมีทิศทางชะลอตัวได้เช่นกัน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี
