ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Care for Elderly) นับเป็นธุรกิจที่น่าจับตาและขนาดธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยประเมินมูลค่าธุรกิจศูนย์ดูแล ผู้สูงอายุผ่านงบการเงินที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ปี 2566 ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุมีมูลค่าตลาดราว 2.57 พันล้านบาท
เมื่อพิจารณาบนบริบทของโครงสร้างทางอายุของประชากรไทย พบว่า ปัจจุบันกลุ่มประชากรเกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็น กลุ่มที่อยู่ใน Baby Boomers Generation (ช่วงอายุ 59-77 ปี ในปัจจุบัน) ซึ่งมีการสร้างครอบครัวสูงถึง 80% โดยมีบุตร สูงถึง 64% ส่งผลให้วัยหลังเกษียณ ยังพอมีคนช่วยดูแล
และในปี 2567 จะเป็นปีแรกที่กลุ่ม Gen X (ช่วงอายุ 47-58 ปี ในปัจจุบัน) มีสถิติการสร้างครอบครัวเพียง 61% และอัตรามีลูกต่ำลงที่ 62% จะประสบปัญหาการมีผู้ดูแลหลังวัยเกษียณ
ทำให้การตัดสินใจเลือกพักพิงในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุคาด มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป โดยแบ่งระยะการเติบโตออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1.ระยะการเติบโต เป็นระยะที่ผู้สูงอายุรับรู้ว่าการพักพิงในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเป็นตัวเลือกที่ดี โดยนับจากปี 2567 จะเป็นช่วงที่คนวัย Gen X เริ่มเกษียณ ส่งผลให้บางส่วนตัดสินใจเลือกพักอาศัยในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ คาดการณ์ว่าอัตราการเลือกพักพิงในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอาจอยู่ในระดับ 1.5-2.5% ในช่วง 5 ปีแรก และจะปรับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2.5-4.0% ของประชากร ในกลุ่มที่เข้าสู่วัยเกษียณในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
2.ระยะการเติบโตในอัตราเร่ง คาดว่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วง ปี 2579 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของกลุ่ม Gen Y (ช่วงอายุ 29-46 ปี ในปัจจุบัน) เข้าสู่ช่วงวัยเกษียณ และคาดว่าจะประสบปัญหาขาดคนดูแลสูงกว่าคนในยุคก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราการเลือกอยู่ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระดับที่ 4.5% ขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้ มองสถานการณ์ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุมีโอกาสสดใส โดยประเมินในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่ายังสามารถเติบโตในปี 2567-2571 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ (CAGR) 30.5% ต่อปี ด้วยขนาดธุรกิจประมาณ 9.5 พันล้านบาทในปี 2571
รวมถึงในช่วงปี 2572-2576 ที่อัตราการเข้าพักพิงเริ่ม เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดยังสามารถเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลัก โดยหนุนให้ตัวเลขมูลค่าของธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุขยายตัวแตะ 1.92 หมื่นล้านบาทในปี 2576
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี
