“รุก กลางกระดาน”
ดาหน้าตอบโต้กันเป็นจังหวะจะโคน สำหรับประเด็นที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น จัดให้ไทยเป็น 1 ใน 38 ประเทศ ที่น่าละอาย
โดยทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงคสช.เอง ก็ออกมาตอบโต้กันยกใหญ่
โดยหลักใหญ่ใจความก็คือยืนยันว่าไทยไม่มีนโยบายหรือเจตนาคุกคามข่มขู่ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน
รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญในการคุ้มครองและปกป้อง และทำมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ให้มีความปลอดภัยสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติงานได้อย่างดีด้วยซ้ำ
จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องยก 3 ตัวอย่าง ที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น ทั้งกรณีนายไมตรี จำเริญสุขสกุล นักปกป้องสิทธิชนพื้นที่เมืองลาหู่
น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือ ทนายจูน จากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน
รวมถึงกรณีนักสิทธิมนุษยชนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ที่เผยแพร่รายงานการ ซ้อมทรมาน 54 กรณี ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
มาพิจารณาว่าได้รับการคุ้มครองจาก เจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร!??
โดยนายไมตรี เป็นผู้ที่เรียกร้องความ เป็นธรรมกรณีการเสียชีวิตของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ ที่ถูกทหารยิง เสียชีวิตคาด่านตรวจบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
แต่ระหว่างการเรียกร้องความเป็นธรรม เกิดกรณีเจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นและจับกุมสมาชิกในครอบครัว พร้อมตั้งข้อหามี ยาเสพติดไว้ในครอบครอง
ส่วนกรณีชัยภูมิ เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล แต่กล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานสำคัญ ที่ทั้งผบ.ทบ. และแม่ทัพภาค 3 ยืนยันว่าได้ดูหมดแล้ว
กลับหายไป
ถัดมากรณีของทนายจูน ที่เป็นทนายให้กับ 14 นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่
แต่กลับถูกตั้งข้อหาให้การเท็จ ข้อหาปลุกปั่นตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 และฝ่าฝืนคำสั่งคสช.
ส่วนนักวิชาการจากภาคใต้ แทนที่จะได้รับความชื่นชมในการเปิดเผยสิ่งที่ไม่ดี กลับถูกฟ้องร้องดำเนินคดีกราวรูด อีกทั้งมีการข่มขู่คุกคาม
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ไม่นับกับการจับกุมคุมขัง หรือดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างอื่นๆ อีก
จึงไม่แปลกใจที่เขาจะเห็นว่า ‘น่าละอาย’