“รุก กลางกระดาน”
เป็นอีก 1 คดีในหน้าประวัติศาสตร์การใช้ความรุนแรงของการเมืองไทย
สำหรับกรณีที่มีคนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกยิงถล่มนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงอุดรธานี ถึงบ้านพัก จนบาดเจ็บสาหัส เมื่อปี 2557
ลงมือกลางวันแสกๆ ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน
เหมือนกับมั่นใจว่ามีแบ๊กดีคอยหนุนหลัง
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนจนสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ทั้งหมด 6 ราย
ส่งฟ้องศาลดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
ซึ่งศาลก็พิจารณาสั่งยกฟ้องถึง 3 ศาล ตั้งแต่ชั้นต้น อุทธรณ์ จนถึงฎีกา
โดยให้เหตุผลว่า พยานที่โจทก์นำมาเบิกความว่าเห็นคนร้ายสวมเสื้อ-กางเกงขายาว คลุมไอ้โม่ง ยืนอยู่นอกรั้วบ้านนายขวัญชัย แล้วกระหน่ำยิงปืนเข้าไป รวมทั้งเห็นท้ายกระบะมีเงาดำๆอยู่นั้น
ไม่มีใครเห็นหน้าคนร้ายอย่างชัดเจน รวมทั้งทะเบียนรถด้วย
ขณะที่วงจรปิดที่จับภาพรถต้องสงสัยออกจากรีสอร์ตที่พักไปยังจุดก่อเหตุ ก็เป็นภาพจากกล้องหลายๆจุด ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหวจากวงจรปิดเดียวกัน
แถมรถที่อ้างว่าเป็นคันใช้ก่อเหตุ ทั้งยี่ห้อ รุ่น สี ก็มีจำหน่ายใช้กันทั่วไป ไม่ได้มีลักษณะพิเศษ
ส่วนหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของกลุ่มจำเลย ก็แค่หาตำแหน่งของโทรศัพท์ว่าอยู่จุดใดบ้าง ไม่สามารถบอกรายละเอียดพฤติกรรมผู้ใช้ได้
ขณะที่มือปืนที่รับสารภาพชั้นจับกุมนั้น ก็ไม่มีหลักฐานพยานอื่นมาสนับสนุน ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าเป็นคนยิงจากกระบะท้าย แถมต่อมายังให้การปฏิเสธ
ทั้งหมดจึงไม่เพียงพอที่จะตัดสินลงโทษ พิพากษายกฟ้อง
ผลที่ออกมาส่งผลให้จำเลยทั้งหมดถูกลบล้างมลทิน เป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งต้องแสดงความยินดี
แต่อีกด้านหนึ่งเท่ากับว่า คนร้ายตัวจริงยังคงลอยนวลอยู่ในสังคม!??
คนที่โหดร้ายขนาดใช้อาวุธสงครามยิงอุกอาจกลางเมือง กลางวันแสกๆ อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลคสช. ที่ยกภารกิจสร้างความสงบต้องนำเรื่องนี้มาดำเนินการอย่างเร่งด่วน
ยิ่งเข้าใกล้การเลือกตั้ง การลงมือที่เชื่อได้ว่ามีผลทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง หากยังลอยนวล ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่น
ต้องขยับอะไรสักอย่าง ให้เห็นว่าคสช.ก็มีฝีมือ