ภาวะฉุกเฉินฝุ่น
ทิ้งหมัดเข้ามุม
ภาวะฉุกเฉินฝุ่น – ปัญหาสภาพอากาศที่มีฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐาน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว
เพราะล่าสุดสั่งปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯและปริมณฑลทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน คือวันที่ 31 ม.ค.- 1 ก.พ.
ว่ากันตามจริงแล้ว สภาพอากาศที่ประเทศไทยย่ำแย่ถึงขีดสุดแล้ว มีการตรวจสอบคุณภาพทางอากาศ (Air Quality Index) ของกทม.แย่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก
จากการตรวจวัดสภาพอากาศเมื่อเวลา 16.53 น. วันที่ 30 ม.ค. พบเมืองที่อากาศแย่ที่สุด คือลาฮอร์ของปากีสถาน ค่าคุณภาพอากาศคือ 215 ตามมาด้วย นิวเดลีของอินเดีย อันดับ 3 คือหังโจวของจีน และอันดับ 4 คือกรุงเทพฯที่ค่าคุณภาพอากาศอยู่ที่ 169
ปริมาณฝุ่นของกรุงเทพฯตอนนี้ อยู่ในระดับที่เรียกว่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพ (Unhealthy) และมีคำแนะนำว่าไม่ควรออกนอกสถานที่โดยไม่จำเป็น หรือถ้าต้องออก ก็จำเป็นต้องมีเครื่องป้องกันตัว ไม่ให้สูดดมฝุ่นพิษ PM 2.5 เข้าไปในร่างกาย
นี่จึงเป็นที่มาของการประกาศหยุดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วกรุงเทพฯ
ถึงการหยุดเรียนเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แต่ก็ต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนสูดฝุ่นพิษ PM 2.5 เข้าไปในร่างกาย
ส่วนการแก้ที่ต้นเหตุ ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล
ต้องทำให้ปัญหาฝุ่นเป็นวาระชาติ หรือประกาศภาวะฉุกเฉินฝุ่นแบบเกาหลีใต้
ล่าสุดนักวิชาการชี้แนะแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นที่ถูกต้อง
1.ติดตั้งหัวกระจายน้ำเป็นฝอยบนหลังคาของ ตึกสูงไม่เกิน 100 เมตร ทั่วกทม. พ่นละอองฝอยของน้ำสู่บรรยากาศโดยรอบในรัศมีอย่างน้อย 50 เมตร จะสามารถจับฝุ่นดังกล่าวลงสู่พื้นดินได้
2.การพ่นละอองน้ำต้องทำอย่าง ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 30 นาที และ เว้นระยะ 30 นาที – 1 ชั่วโมง จึงพ่นต่อได้สามารถลดฝุ่นลงได้ถึงร้อยละ 70 ในบริเวณดังกล่าว
3.ดูดน้ำจากแม่น้ำที่สะอาด พ่นออกไปเป็นฝอยเล็กๆ
และ 4.เป็นวิธีการที่จะช่วยบรรเทาลดความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กลงได้มาก แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการไป x-ray พื้นที่และจัดการกับแหล่งกำเนิดจะดีและถูกต้องที่สุด
เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลควรลงมือแก้อย่างเร่งด่วนและจริงจัง