ไม่ไหวอย่าฝืน
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย…รุก กลางกระดาน
ไม่ไหวอย่าฝืน – ถือเป็นปราฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับท่าทีของสังคมต่อบทบาทการทำหน้าที่ป้องกันการระบาดแพร่เชื้อของโรคโควิด-19
ที่แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดลงต่อเนื่อง จากหลักร้อยมาเป็นหลักสิบ ผู้เสียชีวิตก็น้อยลง จนบางวันตัวเลขเป็นศูนย์
แต่ทำไมปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาไม่ได้มีความปลาบปลื้มชื่นชม เหมือนอย่างที่ศบค.พยายามจะประชาสัมพันธ์ผ่านถ้อยคำคีย์เวิร์ดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น ‘การ์ดอย่าตก’ ยังผ่อนปรนไม่ได้ และเรียกร้องความรับผิดชอบต่อสังคมจากคนส่วนใหญ่
นั่นก็เป็นเพราะมาตรการที่ศบค. นำมาบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเคอร์ฟิว ปิดห้างร้าน แถมกำชับการจับกุมดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด
นอกจากจะส่งผลให้การควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ยังส่งผลกระทบมหาศาลต่อสภาพเศรษฐกิจของประชาชนส่วนใหญ่อีกด้วย
ขณะที่การเยียวยาช่วยเหลือของรัฐบาลก็ล่าช้า ไม่ทั่วถึง
ดังจะเห็นได้จากเสียงสะท้อนของประชาชนที่เดือดร้อน และน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง ที่หลายคนเลือกความตายเป็นทางออก เพราะทนสภาพภาวะแร้นแค้นหมดความหวังเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาล และศบค.จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเอื้ออาทรต่อคนในสังคม
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ทำตัวเป็นเจ้านายอยู่บนหอคอยงาช้าง ใครจะตายก็ช่าง ขอให้ไม่กระทบกับตัวเองเป็นพอ
เพราะการป้องกันโรคระบาดได้สำเร็จ จะไม่เป็นผลที่น่ายินดีเลย หากในที่สุดแล้วประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้
การพิจารณาเยียวยาทั้งเฉพาะหน้าอย่างทั่วถึง และวางรากฐานเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจในอนาคตจึงเป็นเรื่องจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังพอจะมีข้อดีที่นายกฯ ยอมรับว่าจะต้องขอความช่วยเหลือจาก 20 เศรษฐีเมืองไทย
เพราะการที่เริ่มยอมรับความจริงว่าตัวเองไร้ความสามารถในเรื่องไหน ย่อมเป็นก้าวแรกในการพัฒนาตัวเอง
ที่สำคัญ เมื่อฟังเจ้าสัวแล้ว ก็ต้องฟังเสียงประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อให้การแก้ปัญหาตรงจุดตรงประเด็น
และหากพบว่าปัญหาที่เผชิญมันหนักหนาเกินกว่าขีดศักยภาพตัวเองก็ควรยอมรับ เปิดโอกาสให้คนที่เขาทำได้เข้ามาแทน
ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน เพราะประเทศไม่ใช่สนามเด็กเล่น
คนที่ตายเขาตายจริง ไม่ใช่แค่เกม