“รุก กลางกระดาน”
ต้องยอมรับความช็อกพอสมควร สำหรับถ้อยแถลงของสถาบันอิศรา
ที่ น.ส.วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ประธานคณะกรรมการสถาบันอิศรา ได้ออกมายอมรับว่า นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.สถาบันอิศรา เป็นคนเดียวกับที่ถูกกล่าวหาในคดีบิ๊กสื่อ
เพราะนายประสงค์ นับเป็นสื่อ มวลชนอาวุโส ที่ผ่านงานมามาก ทั้งข่าวสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบบุคคลในสังคมมาตลอด
จึงกลายเป็นประเด็นที่ยิ่งต้องทำให้ชัดเจนว่า นายประสงค์มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกกล่าวหาไว้หรือไม่
และหนทางที่สง่างามมากที่สุดก็คือ การยอมรับการตรวจสอบตามที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประกาศไว้ว่าจะดำเนินการ โดยใช้กรรมการคนนอกที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม
การปิดกั้นการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ้อยคำทางกฎหมายมาตีกรอบ ใช้กฎหมายหมิ่นประมาท ใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไม่สามารถฟอกตัว หรือทำให้ข้อเท็จจริงกระจ่างได้
เอาง่ายๆ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีพนักงานหญิงของสถาบันอิศรา หรือสำนักข่าวอิศรา ลาออกไปหรือไม่ แล้วบุคคลที่ลาออก ทำงานใกล้ชิดกับใครหรือไม่
เรื่องนี้ทำได้โดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อผู้เสียหาย และเป็นการค้นหาความจริงที่ง่ายที่สุด
นอกจากนี้ยังต้องอธิบายให้ชัดเจนอีกว่า กรณีนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งรังแก และไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
เพราะผลที่เกิดขึ้นกระทบกับภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนทั้งหมด
อีกทั้งการยกคุณงามความดีที่เคยทำมา ย่อมไม่สามารถล้มล้างการกระทำที่เกิดขึ้นได้ ยิ่งหากกระทำผิดจริงยิ่งไม่อาจลบล้างได้ด้วยความดีในอดีต
ดีส่วนดี ผิดส่วนผิด เรื่องแค่นี้เด็กอมมือมันก็ยังรู้!??
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงอีกอย่าง ก็คือการที่สถาบันออกมายืนยันใช้ทุกภาคส่วนขององค์กร และใช้ทุกวิถีทางนำพานายประสงค์ออกจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ได้
เท่ากับว่าเป็นการนำสถาบันอิศรา ไปผูกติดไว้ที่ตัว‘ประสงค์’ การเจริญรุ่งเรือง หรือล่มสลาย ก็ขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว
อดคิดไม่ได้ว่า หาก ‘อิศรา อมันตกุล’ ผู้ล่วงลับ ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมา จะรู้สึกอย่างไรกับการนำชื่อของเขาไปตั้งเป็นสถาบัน รวมทั้งพฤติกรรมที่แสดงออกทั้งหมด
อาจอยากให้ชื่อ‘สถาบันประสงค์’ ไปเลยก็ได้