เป็นที่ฮือฮาพอหอมปากหอมคอ เมื่อ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้งและ ผู้บริหารเฟซบุ๊ก จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย และเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 30 ต.ค.นี้

แม่งานก็ต้องเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อจัดเตรียมการพบปะของบิ๊กตู่และผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กในครั้งนี้

พล.อ.ประยุทธ์ยังพูดถึงเรื่อง “มาร์ก” จะเข้าพบว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นการเดินทางมาดำเนินการในส่วนของเขา และขอเข้าพบและหารือร่วมกันในการแสวงหาความร่วมมือเรื่องของการป้องกันแก้ไขปัญหาในเรื่องผลกระทบของอาชญากรรมข้ามชาติว่าจะมีมาตร การ และแผนการป้องกันอย่างไร ซึ่งไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดปัญหา

ความจริงแล้ว เฟซบุ๊กในเมืองไทยถือ ว่าเติบโตมาก เมื่อเทียบกับทวิตเตอร์ หรือไลน์ คาดว่ามีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยตอนนี้ประมาณ 43 ล้านบัญชี

เกินครึ่งของประชากรทั้งประเทศ

การหารือกันระหว่างผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก กับผู้นำไทยครั้งนี้ ก็คาดการณ์กันว่าเรื่องหลักๆ น่าจะเป็นเรื่องการที่เฟซบุ๊กจะเข้ามาลงทุนในเมืองไทย โดยเฉพาะเรื่องการทำศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต หรือ Data Center

และก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าการที่ “มาร์ก” มาเมืองไทยครั้งนี้ อาจเกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ภาษีอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม. และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาและมีผลบังคับใช้ให้ได้ในปีงบ ประมาณ 2561

ประเด็นก็คือ พ.ร.บ.ตัวนี้ กำหนดให้เก็บภาษีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เฟซบุ๊ก กูเกิ้ล ยูทูบ ไลน์ ฯลฯ โดยกำหนดอัตราเพดานสูงสุดไว้ในกฎหมายให้ทั้งหมดต้องเสียภาษีหักที่จ่ายไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์

ตรงนี้จึงน่าจะเป็น “อีกหัวข้อสำคัญ” ในการเจรจากันระหว่างบิ๊กตู่กับมาร์ก นอกจากเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ และเรื่องการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในเมืองไทย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน