มาถึงโค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ซัดกันมันหยด ทั้งจากผู้สมัครด้วยกัน และบรรดาผู้สนับสนุน

ไอ้ที่ว่าแน่ๆ แบบนอนมา ก็ดูชักจะยังไง เมื่อต้องเผชิญกับยุทธศาสตร์หลากหลาย ทั้งไอโอ วิชาการ งัดกันมาให้พรึบ

ทั้งการปลุกความเกลียดความกลัว ระดมแนวคิด ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ หวังให้คนกรุง หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้ความกลัว และความเกลียด เป็นตัวตัดสินใจ มากกว่าความชอบ และความรัก

ซึ่งจะมีผลในทางปฏิบัติอย่างไรคงต้องรอดูผลหลังการเลือกตั้ง

ส่วนที่ทำไมเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้ถึงดุเดือด ส่วนหนึ่งก็เพราะถือเป็นสงครามตัวแทน’ ระหว่างแนวคิดทางการเมือง 2 ขั้ว 2 ฝั่ง มากกว่าจะเป็นเรื่องการบริหารมหานคร

ผิดจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ผ่านๆ มา ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้สมัครจะพยายามวางตัวเป็นกลาง เป็นอิสระ เพื่อหวังดึงดูดใจจากทุกขั้ว

มาเป็นการซัดกันจะจะ ว่าใครมีอุดมการณ์การเมืองเป็นอย่างไร เอากันให้ชัด

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนในสังคมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นปัญหาของประเทศ ที่อยู่ในภาวะวิกฤตมาร่วมทศวรรษ เขารับรู้กันแล้วว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ใดกันแน่

การปฏิเสธที่จะพูดถึง เหมือนภาวะ ‘ช้างในห้อง’ ที่ทุกคนรู้ แต่ไม่พูดมันออกมา นอกจากจะไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ซ้ำเติมปัญหาให้มากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ก็เชื่อว่าทุกคนจะรับได้กับเสียงส่วนใหญ่ จะขวาจัด ซ้ายจัด อนุรักษนิยม หรือเสรี ถ้าผ่านการลงคะแนนเสียงแล้ว ทุกคนก็ต้องเคารพ

แล้วจะสู้กันอีกครั้งในรอบ 4 ปี หรืออะไรก็ว่ากันไป

อย่างไรก็ตามที่ไม่สามารถยอมรับได้เลย นั่นก็คือแนวคิดที่ยังชื่นชมรัฐประหาร ชอบการใช้อำนาจล้มโต๊ะ ปฏิเสธฉันทามติของประชาชน

เพราะไม่เพียงผิดกฎหมาย เป็นรัฐธรรมนูญ เป็นถึงกบฏแผ่นดินแล้ว ที่ผ่านมาก็เห็นๆ อยู่มันไม่ได้แก้ปัญหา แถมยังซ้ำเติมปัญหาให้มากยิ่งขึ้น

การสนับสนุนรัฐประหารจึงไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นการสนับสนุนให้ละเมิดสิทธิคนอื่น

ไม่เห็นหัวประชาชนชัดเจน!!!

คนทั่วไปถ้าคิดอย่างนี้ ย่อมต้องถูกประณาม

คนที่เป็นนักการเมือง ยิ่งต้องประณามอย่างรุนแรงกว่า!!

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน