ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
ชี้ว่าในรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ได้เขียนข้อบัญญัติไว้ชัดเจนไว้มาก แต่กำหนดให้ขึ้นอยู่กับการยกร่าง พ.ร.ป. อีกทั้งเป็นเจตนารมณ์ในการยกร่างของรัฐสภา ที่มีหน้าที่ในการจัดทำและแก้ไข สอดคล้องกันหมด
ประเด็นการแก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกพรรคการเมือง ที่เปิดให้ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำคุกว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือตำแหน่งหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม หรือการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้นั้น
ศาลมองว่าเพียงการเป็นสมาชิกพรรคการปรับแก้เงื่อนไข ไม่ได้มีผลอะไรกับพรรคการเมือง เนื่องจากไม่ได้ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
ที่ต้องลุ้นกันต่อก็การพิจารณาวินิจฉัยร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 30 พ.ย.นี้
มีรายงานข่าวว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระพิจารณาเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาคุยกันยาว
ตามเนื้อหาของร่างพ.ร.ป.ฉบับนี้การหารด้วย 100 นั้นถูกต้องแล้ว แต่ตามคำร้องมีการอ้างถึงถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ กรณี “ส.ส.พึงมี” ของการคำนวณจำนวนส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ
หากศาลวินิจฉัยว่าไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็จะเข้าสู่กระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป
Advertisement
หลังจากนั้น ประเทศไทยก็จะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทั่วไปทันที ซึ่งตามกำหนดเวลา ก็จะอยู่ในราวเดือนพ.ค.ปีหน้า
ถ้าหากนายกฯ ไม่ชิงยุบสภาเสียก่อน
สำหรับพรรคการเมืองนั้นคึกคักและเตรียมพร้อมกับการเลือกตั้งอย่างมาก
ทั้งการย้ายพรรคและการเปิดตัวผู้สมัคร
โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น มั่นใจในตัวเองอย่างมาก
อาจจะมองว่าผลการสำรวจทุกโพล คะแนนนิยมส่วนตัวมากกว่าพรรคที่ให้การสนับสนุน
พร้อมแล้วที่จะทิ้งพลังประชารัฐไปสังกัดพรรคใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ชุมทางของฝ่ายกปปส.-นกหวีด
โดยมีส.ส.พรรคเดิมจะย้ายตามไปจำนวนมาก
แต่การจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกในครั้งนี้ไม่ง่ายนัก แม้จะมีวุฒิสมาชิก 250 คนคอยหนุนก็ตาม!!
เภรี กุลาธรรม