อีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็จะได้รู้กันแล้วว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปจะออกมาเป็นอย่างไร
จะเป็นเหมือนผลโพลของหลายๆ สำนักที่ออกมาก่อนหน้านี้ หรือจะเป็นการหักปากกาเซียน ผลออกมาเป็นคนละทิศละทางกับที่คาดการณ์ไว้
ก็คงต้องรอดูบทสรุปในตอนท้าย
ซึ่งก็เชื่อกันว่า หากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการบิดเบือนฉันทามติของประชาชน ด้วยกลไกต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์
ก็เชื่อว่าประชาชนจะยอมรับได้ เพราะถือเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย
ฝ่ายที่ชนะจัดตั้งรัฐบาล ทำงานไป
ฝ่ายแพ้ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ให้เหลิงหรือลุแก่อำนาจ
เช่นเดียวกับประชาชน ก็สามารถแสดงออกถึงความพอใจ-ไม่พอใจ ผ่านสิทธิเสรีภาพการแสดงออกที่มี
ครบวาระ 4 ปีค่อยมาว่ากันใหม่ผ่านการเลือกตั้ง หรืออาจจะเร็วกว่านั้นหากมีการยุบสภา
เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ควรจะต้องมาพร่ำบอกกันซ้ำไปซ้ำมา
และถ้าเป็นเช่นนี้ก็คาดหวังว่าบุคคลระดับส.ว.จะพึงสำนึกไม่กระทำการใดๆ ที่สร้างเงื่อนไข ให้ประเทศไม่หลุดพ้นวงจรอุบาทว์ที่เผชิญมาตลอดหลายปี
ดังนั้น องค์กรที่เป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างกกต. จึงต้องรับความคาดหวังจากสังคมอย่างสูง
น่าเสียดายที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งจากการเลือกตั้ง 2562 จนถึงการเลือกตั้ง 2566 กกต.ไม่สามารถสร้างศรัทธาให้กับประชาชนได้มากนัก
มีทั้งเรื่องระบบการนับคะแนน การจัดทำบัตรเลือกตั้ง การบริหารการเลือกตั้ง หรือการตรวจสอบการทุจริตซื้อสิทธิ์ขายเสียง
ยังคงมีปัญหาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในห้วงที่เหลืออยู่ก็ยังพอมีเวลาจะหันมารับผิดชอบหน้าที่ ทวงคืนศักดิ์ศรีขององค์กรที่สูญเสียไปกลับคืนมา
หากทำหน้าที่ได้ดี ก็เป็นที่เชิดหน้าชูตา ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
ไม่เช่นนั้น แม้จะถูกบันทึกไว้แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงเป็นคนละมุมมอง
ก็อยู่ที่ว่าอยากให้ลูกหลานได้จดจำอย่างไร กกต.เลือกได้เองเลย!!!
รุก กลางกระดาน