การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในรัฐสภาจะต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภารวมกัน
ต้องมีเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 376 เสียงจากสมาชิกรัฐสภาทั้งสิ้น 750 คน แบ่งเป็นส.ส. 500 คน และส.ว.อีก 250 คน
ขณะนี้ พรรคก้าวไกล ซึ่งได้รับคะแนนเสียงมาเป็นลำดับที่ 1 และมีความชอบธรรมที่จะจัดตั้งรัฐบาล รวมเสียงได้แล้ว 310 เสียง
จากพรรคก้าวไกล 152 เสียง, เพื่อไทย 141 เสียง, ประชาชาติ 9 เสียง, ไทยสร้างไทย 6 เสียง, เสรีรวมไทยและเป็นธรรมพรรคละ 1 เสียง
ยังต้องหาเพิ่มอีกอย่างน้อย 66 เสียง จึงจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ทำให้สังคมเรียกร้องวุฒิสมาชิกว่าจะสมควรแสดงเจตจำนงโหวตไปตามมติมหาชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล โดยได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์กว่า 14 ล้านเสียง
ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาล ขอให้โหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกลให้จบในซีกสภาผู้แทนราษฎรไปเลย จะได้ไม่ต้องพึ่งมือสมาชิกวุฒิสภา
อย่างไรก็ตาม การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งส.ส.วันที่ 14 พ.ค. โดยเครือมติชนและกลุ่มหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น
Advertisement
ครั้งที่ 2 เพิ่มคำถามน่าสนใจว่าสมาชิกวุฒิสภาหรือส.ว.ควรโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่ได้ ส.ส.มากที่สุดหรือไม่
ผลการสำรวจออกมาพบว่า ร้อยละ 82.54 ระบุส.ว.ควรเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่ได้ที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด และเลือกจากพรรคการเมืองใดก็ได้ เพียงร้อยละ 17.46 เท่านั้น
กลุ่มตัวอย่างผู้ร่วมโหวตออนไลน์ครั้งนี้ รวบรวมจากทุกแพลตฟอร์มของทั้ง 2 สื่อ ยอดรวมทั้งหมด 78,583 ราย
แบ่งเป็น อันดับที่ 1 กลุ่มช่วงอายุ 42-57 ปี ร่วมโหวตมากที่สุดถึงร้อยละ 31.48
อันดับ 2 ช่วงอายุ 26-41 ปี ร้อยละ 29.85, อันดับ 3 ช่วงอายุ 58-76 ปี ร้อยละ 22.48, อันดับ 4 ช่วงอายุ 18-25 ปี ร้อยละ 15.38 และอันดับ 5 ช่วงอายุ 77 ปีขึ้นไป ร้อยละ 0.81
10 จังหวัดแรกที่มีผู้ร่วมตอบโพลสูงสุด ได้แก่ กทม., นนทบุรี, ปทุมธานี, เชียงใหม่, สมุทรปราการ, ชลบุรี, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, ขอนแก่น และเชียงราย
ไม่มีเหตุผลใดเลยที่วุฒิสมาชิกจะฝืนความต้องการของประชาชน และควรละอายใจที่รับใช้อำนาจรัฐประหารมาตลอด 4 ปี!!
เภรี กุลาธรรม