รัฐบาลส่งแรมโบ้ลุยเอง
‘ก้าวไกล’สวนกลับ‘บิ๊กตู่’
ท้าเปิดสัญญาการจัดซื้อ

รัฐบาลส่ง‘แรมโบ้-ทศพล’ลุยแจ้งจับแล้ว ‘ธนาธร’ปมไลฟ์ตั้งคำถามซื้อ-ร่วมทุนผลิตวัคซีน งัดมาตรา 112 กับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เล่นงาน ด้านก้าวไกลแถลงป้อง ปัดบิดเบือน อัดกลับ “ตู่” เปิดเองปมวัคซีนพระราชทาน จี้แจงเทงบหนุนสยามไบโอไซเอนซ์เจ้าเดียว พร้อม เปิดทุกสัญญาที่ทำกับเอกชน ฟากโฆษกพรรค ‘วิโรจน์’ อัดกลับ ‘ประยุทธ์’ ทำระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเสียเอง

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 ม.ค. ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายทศพล เพ็งส้ม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ. ทองศูนย์ อุ่นวงค์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ปอท.ให้เอาผิดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในข้อหาความผิด ม.112 และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีไลฟ์เฟซบุ๊กวิจารณ์การนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้าและจัดซื้อผ่านบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า สหราชอาณาจักร ที่เชื่อมโยงกับบริษัทสยามไบโอ ไซเอนซ์

นายทศพลกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ให้มาแจ้งความเอาผิดนายธนาธร จากการวิจารณ์รัฐบาลเรื่องการนำเข้าการผลิตวัคซีน โดยได้แกะคลิปวิดีโอไลฟ์กว่า 30 นาที ไล่ตั้งแต่นาทีที่ 03.20 น. รวมแล้ว 11 ช่วงตอน ที่กล่าวหารัฐบาลเรื่องประสิทธิภาพ การผลิตล่าช้า และนำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องการถือหุ้นบริษัท เป็นการนำประชาชนมาเป็นตัวประกัน จึงแจ้งความผิดในข้อหาตาม ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นการสร้างความบิดเบือนเข้าใจผิดต่อสังคม ซึ่งภาครัฐ ได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ ไปแล้ว

นายทศพลกล่าวอีกว่า หากพบว่ามีใครเกี่ยวข้องอีก ก็จะดำเนินคดีทั้งหมด โดย จะติดตามการทำงานของพนักงานสอบสวนอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามเรื่อง งบประมาณเกี่ยวกับวัคซีนนั้น ตนมองว่า การชี้นำกับการตั้งคำถามนั้นต่างกัน กรณีนี้เป็นการชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด

ด้านนายสุภรณ์กล่าวว่า ตนผิดหวังในตัวนายธนาธร ที่พยายามบิดเบือนคำพูดทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เน้นย้ำหากมีใครบิดเบือนนำข่าวเท็จมากล่าวหาดูหมิ่น ก็คง ไม่ปล่อยไว้ ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงพล.อ.ประยุทธ์ ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาดำเนินคดีนายธนาธร กรณีวิจารณ์การนำเข้าวัคซีนที่มีการเชื่อมโยง กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยโยงเกี่ยวการเมืองและ ใช้คำว่า วัคซีนพระราชทาน รวมถึงสื่อหรือโซเชี่ยลมีเดีย ตามที่นายกฯระบุว่าจะให้ดำเนินคดีทุกเรื่อง ทุกรายการว่า แนวทางของนายกรัฐมนตรีเป็นไปในลักษณะที่ว่าหาก มีประเด็นที่ออกมาพูดต่อสาธารณชนคง ต้องรับผิดชอบในประเด็นแต่ละประเด็น ที่พูดถึง ซึ่งอาจกระทบความเข้าใจของประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการแจ้งความดำเนินคดีจะแจ้งในนามรัฐบาลเลยใช่หรือไม่ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจ จึงไม่ทราบ ว่าตอนนี้นายกรัฐมนตรีมีนโยบายอย่างไร เนื่องจากนายกฯยังไม่ได้พูดชัดเจน ในเรื่องการที่จะให้ใครดำเนินการส่วนไหน เพียงแต่พูดในภาพรวม ว่าหากหลีกเลี่ยงได้ก็ขอให้หลีกเลี่ยงดีกว่าในการที่จะสร้างข้อมูล ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับสาธารณชน

“เพราะตอนนี้สื่อโซเชี่ยลเองก็ดี เรื่องของการพูดออกมาแต่ละครั้ง เป็นการพูดที่ข้อมูลอาจจะไม่ถูกต้องดังนั้นจึงจะต้องไปตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้พูดออกมานั้นมีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเป็นผู้ไปพิจารณา เพราะอาจจะไม่ใช่ในส่วนของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว” โฆษกรัฐบาลกล่าว

เมื่อถามย้ำว่านายกฯ ได้มอบให้ผู้ใดเป็นฝ่ายกฎหมายที่ไปพิจารณา นายอนุชากล่าวว่า ไม่ทราบ ขอให้ไปถามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ

ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ฐานะโฆษกพรรค กก.ร่วมกันถึงแถลงกรณีนาย ธนาธร ถูกแจ้งความมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หลังออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และมีเนื้อหาทำให้สถาบันโดนดูถูกเกลียดชังว่า การแสดงความเห็นของนายธนาธร ถือเป็นการตรวจสอบรัฐบาล และเป็นการตั้งคำถามปกติในเรื่องการจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล รวมทั้งเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ไม่ได้เป็นการชี้นำเพื่อให้เกิดความเกลียดชังต่อสถาบันใดๆ ทั้งสิ้น

นายชัยธวัชกล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ก็เคยตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลจึงเลือกบ.สยามไบโอไซเอนซ์ ไปเซ็นสัญญากับ แอสตร้า เซเนก้า สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบว่าทำไมจึงเลือกบริษัทดังกล่าว ที่สำคัญเรื่องนี้ถูกเปิดประเด็นโดยพล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเป็นคนแรกที่เปิดเผยถึงประเด็นนี้ว่าเป็นวัคซีนพระราชทาน และเปิดเผยถึงบริษัทดังกล่าว ขึ้นมาเมื่อวันที่ 27 พ.ย.2563 ซึ่งเป็นวันที่ ลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้ากับบริษัท แอสตร้า เซเนก้า และสถาบันวัคซีนแห่งชาติของไทย ดังนั้นรัฐบาลต้องออกมาชี้แจงการใช้งบประมาณสนับสนุนบริษัทดังกล่าว รวมถึง ขอให้เปิดเผยสัญญาที่ทำไว้กับเอกชนทั้งหมดในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีน

นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลเห็นว่าการแจ้งความต่อนายธนาธรโดยใช้มาตรา 112 เป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลใช้กฎหมาย เพื่อเป็นเครื่องมือปราบปราม และปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมือง ยืนยันว่าการใช้มาตรา 112 ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับประชาชน สร้างผลกระทบต่อสถาบันในสังคมประชาธิปไตย การที่รัฐบาลใช้กฎหมาย 112 เอาผิดผู้เห็นต่างทางการเมือง ไม่ใช่วิธีการปกป้องสถาบันอย่างถูกวิธี

ล่าสุดมีกรณีอดีตข้าราชการถูกตัดสิน จำคุก 87 ปี ในคดี 112 ถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้จะมีการลดโทษเหลือ 40 กว่าปี ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักสากลและการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ทั้งนี้ พรรค กก. เตรียมเสนอ แก้กฎหมายมาตรา 112 และกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาทบุคคล เจ้าหน้าที่รัฐ และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งกฎหมายพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และพ.ร.บ.การชุมนุม เราเตรียมผลักดันแก้ ชุดกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่ปลายปี 2563 ไม่ใช่เป็นเพราะมาเกิดเรื่องขึ้นกับนายธนาธร เพราะต้องยอมรับว่าเวลานี้มีคดีที่เกี่ยวข้อง กับมาตรา 112 ไม่ต่ำกว่า 40 คดี และอายุ ต่ำสุดที่ถูกดำเนินคดีเป็นเยาวชนอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น

ด้านนายวิโรจน์กล่าวว่า คนระดับนายกฯ ต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส เพราะรัฐบาลนี้ มีอดีตผบ.ทบ.อยู่ใน ครม.ถึง 3 คน ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต้องปกป้อง พระเกียรติยศ คำนึงถึงสิ่งที่ตัวเองทำว่า ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่ ทั้งนี้ ต้องถามกลับไปที่นายกฯ และพวก ต้องเอาสัญญามาเปิดเผย เพราะเงินสนับสนุนเป็นเงินภาษีของประชาชน ถ้าเป็นเงินของพล.อ. ประยุทธ์จะไม่ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสาธารณะที่ต้องเปิดเผย เอาสัญญามาเปิดก็จบ ไม่ต้องมาปากดี ทำภาพตัดแปะ ไม่เอา ถ้าบอกว่าตนเป็นขยะ หรือใครเป็นขยะ ท่านก็เป็นสวะเหมือนกัน

“การเก็บเงียบไม่ตอบคำถาม และนำมาตรา 112 มาดำเนินคดีกับคนที่ตั้งคำถาม คือการทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จริงๆ แล้วเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเรื่องที่ประชาชนควรรู้จากการตั้งคำถาม ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด คนตั้งคำถามคือการบิดเบือนหรือ คนที่บิดเบือน คือพล.อ.ประยุทธ์ ผมเรียกว่าอำพราง จะอำพรางข้อมูลข้อเท็จจริงทำไม ยืนยันว่าไม่ได้บิด เบือน เพราะคนที่บิดเบือนต้องนำข้อเท็จจริงมาหักล้าง วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ผมขอกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ว่าอำพรางและปกปิดสัญญา” นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อเวลา 17.00 น.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ต่อให้ดิสเครดิตหรือเอาคดีความมาก่อกวนมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ข้อสงสัยที่ผมตั้งไว้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น ทำไมรัฐต้องรับหน้าแทนบริษัทเอกชนมากขนาดนี้ ยอมรับแล้วหรือไม่ว่าเราให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนนี้จริงๆ ถ้าอยากจบเรื่องนี้ก็ต้องชี้แจงด้วยเอกสาร-หลักฐานให้กระจ่าง โดยผมขอให้เปิดเอกสารทั้งหมด ที่เกี่ยวข้อง เช่น

1.สัญญาจ้างผลิตระหว่าง AstraZeneca กับ Siam Bioscince ว่าตกลงแล้วจะรับผลิตกี่โดส ราคาต้นทุนการผลิตของบริษัทเท่าไหร่ ราคาขายให้ AstraZeneca เท่าไหร่ มีรายละเอียดในสัญญาอย่างไรบ้าง 2.สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติกับ Siam Bioscience ว่ามีรายละเอียดเงื่อนไขอย่างไร มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่ และเอาไปใช้ทำอะไร ตรงตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่ 3.บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไข คุณสมบัติ และรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่าการเลือกสนับสนุน Siam Bioscience เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามหลักการ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

ยิ่งเปิดเผยมากยิ่งโปร่งใส ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมเห็นด้วยทุกประการที่รัฐหรือเอกชนไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตวัคซีน แต่ผมตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดเลือกเอกชน การใช้ประเด็นเรื่องวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมือง และวิธีการบริหารจัดการที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยง ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้าและครอบคลุมประชากรน้อยกว่าประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า หากยึดตามไทม์ไลน์ของรัฐบาล กว่าเราจะกลับทำมาหากินได้ตามปกติไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ ก็อย่างน้อยปี 2565 ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว! #วัคซีนพระราชทาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน