กมธ.แก้รัฐธรรมนูญโหวตผ่าน
200สสร.มาจากเลือกตั้งทั้งหมด
‘บิ๊กป้อม’สั่งลุยซ่อมสส.นครศรีฯ

‘ชวน’ให้แก้ญัตติซักฟอก พรรคฝ่ายค้านลั่น ไม่แก้แม้แต่คำเดียว จี้บรรจุญัตติใน7 วัน ‘สิระ’ ขู่ประท้วงตั้งแต่นาทีแรก จนไม่ได้อภิปรายทั้ง 4 วัน ‘บิ๊กป้อม’ ไม่หลีกทางปชป. ส่งซิกพลังประชารัฐ ส่งผู้สมัครลงซ่อมส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช แทน ‘เทพไท’ ปชป.ว้ากต้องมีมารยาทการเมือง ส.ส.ขวัญเลิศ-คารม แหกมติก้าวไกล ไม่เซ็นชื่อแก้ม.112 กมธ.แก้รัฐธรรมนูญโหวตให้ 200 ส.ส.ร.มาจากเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน

‘บิ๊กป้อม’ลั่นส่งซ่อมส.ส.นครศรีฯ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 28 ม.ค ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเรียกส.ส.กทม.หารือเป็นรายบุคคล เพื่อให้สนับสนุนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ว่า โฆษกพรรคชี้แจงไปแล้วว่าไม่จริง จะมาถามทำไมอีก ไม่จริง ขอให้รอประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ก่อนว่าจะทำอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 3 นครศรีธรรมราช แทนนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นสมาชิกภาพส.ส.จากคดีทุจริตเลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราช จะหลีกทางให้พรรคประชาธิปัตย์ตามมารยาททางการเมือง เนื่องจากเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะส่ง แต่ต้องดูก่อนว่ากก.บห.จะประชุมว่าอย่างไร ส่วนจะนัดประชุมเมื่อไรยังไม่รู้

ต่อข้อถามว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ร้องขอให้ไม่ส่งผู้สมัคร จะพิจารณาอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่รู้ ขอประชุมกก.บห.ก่อน เมื่อถามว่าจะส่งผู้สมัครเป็นคนเดิมหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมก็ไม่รู้ ถามอย่างนี้แล้วจะให้เราตอบอย่างไร ให้ตอบว่าไม่รู้หรือ ก็ผมยังไม่รู้จริงๆ และยังไม่มีคนในใจ

ปชป.ทวงถามมารยาทการเมือง

นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพล.อ.ประวิตร ระบุพรรคพลังประชารัฐจะส่งคนลงสมัครส.ส.นครศรีธรรมราช ว่า เป็นดุลพินิจของพล.อ.ประวิตร แต่คิดว่าต้องค่อยๆ พูดคุยกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลว่าตามหลักการ พื้นที่เดิมเป็นของใคร พรรคร่วมอื่นจะไม่ส่งคนลงแข่ง ยังถือปฏิบัติตามหลักการนี้หรือไม่ ซึ่งพรรคถือหลักการอยู่ร่วมกันของรัฐบาลว่า อะไรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งก็ควรหลีกเลี่ยง ที่ผ่านมาเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม ในพื้นที่ของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่จ.กำแพงเพชร และขอนแก่น พรรคประชา ธิปัตย์ไม่เคยส่งคนลงแข่ง เพราะให้เกียรติกันและถือเป็นมารยาททางการเมือง ซึ่งกก.บห.พรรคจะหารือกันว่าจะส่งใครไปพูดคุยกับพรรคพลังประชารัฐ

“ไม่กังวลว่าจะนำเรื่องนี้มาโยงกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาเรื่องเล็ก มาทำเป็นเรื่องใหญ่ สร้างความขัดแย้ง ประเด็นไหนหลีกเลี่ยงได้ ควรคุยกันว่าควรหลีกเลี่ยงเรื่องที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เพราะในอดีตเคยมีบทเรียนมาแล้ว ไม่ควรก่อให้เกิดความขัดแย้งมีปัญหาในพื้นที่กระทบกระทั่งกัน คิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่พึงประสงค์อย่างนั้น” นายนิพนธ์กล่าว

5 ก.พ.เคาะชื่อผู้สมัคร

เวลา 16.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค เป็นประธานการประชุมกก.บห. เพื่อพิจารณาวาระต่างๆ จากนั้นแถลงว่า ที่ประชุมีมติเอกฉันท์ให้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช แทนนายเทพไท ขั้นตอนจากนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา ที่มีนายนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ เป็นประธาน ดำเนินการตามข้อบังคับพรรค และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เมื่อได้ข้อยุติแล้ว คณะกรรมการสรรหาจะส่งรายชื่อมาให้กก.บห.พิจารณาในวันที่ 5 ก.พ. ซึ่งเป็นวันเปิดรับสมัครเลือกตั้งวันแรก

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องประสานพรรคพลังประชารัฐที่ระบุจะส่งผู้สมัครหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคจะพิจารณาว่าจะส่งหรือไม่ ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนแล้วว่าส่งผู้สมัครแน่นอน เมื่อถามว่าโดยมารยาทแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลต้องหลีกทางให้กับพรรคที่ได้คะแนนอันอันดับหนึ่ง นายจุรินทร์กล่าวว่า สุดแล้วแต่พรรคพลังประชารัฐจะมีความเห็นว่าอย่างไร

นายจุรินทร์กล่าวว่า ที่ประชุมยังรับทราบการตั้งสภาที่ปรึกษาพรรค 22 คน โดยมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธานสภาที่ปรึกษา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค เป็นรองประธานสภา มีหน้าที่ให้คำปรึกษากับหัวหน้าพรรคและกก.บห.

‘เทพไท’ดันน้องชาย-พรรคกล้าเปิดตัว

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรม ราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่าตนได้ปรึกษาหารือกับทีมงาน และกลุ่มผู้สนับสนุนแล้วว่า เห็นควรเสนอชื่อ นายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ น้องชาย ลงสมัครเพราะมีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ เนื่องจากคลุกคลีกับการเมืองในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ มานาน น่าจะเป็น ส.ส.คนใหม่ที่เข้ามาสานต่องานจากตนได้อย่างดี แต่ข้อสรุปอยู่ที่มติของ กก.บห. จะคัดเลือกใครลงสมัคร

ที่สนามไดรฟ์กอล์ฟ Par นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า แถลงเปิดตัวนาย สราวุฒิ สุวรรณรัตน์ เป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ของจ.นครศรีธรรมราช และมีบทบาทสำคัญในการส่งออกเครื่องถมเครื่องเงินของนครศรีธรรม ราช การเปิดตัวผู้สมัครส.ส.ครั้งนี้ มีความหมายของพรรค เป็นโชคและเป็นเกียรติที่ได้แนะนำตัวผู้สมัครคนแรกของพรรคกับชาวนครศรีธรรมราชและคนไทย ซึ่งพรรคตั้งใจทำให้ชาวนครศรีธรรมราชทุกคนอยู่ดีกินดี มีโอกาสก้าวหน้าในชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

2 ส.ส.เมืองคอนซัดกันนัว

ด้านนายชัยชนะ เดชโดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองโฆษกพรรคประชา ธิปัตย์ แถลงกรณีนายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ระบุพร้อมส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราชว่า นายสัณหพจน์ ควรมีมารยาททางการเมือง ไม่พูดจาส่งเดช ทั้งที่ยังไม่มีมติพรรคออกมา การกระทำเช่นนี้เหมือนเด็กบริบาล ไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ของการอยู่ร่วมกันในพรรคร่วมรัฐบาล

จากที่ตนสอบถามส.ส.ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่ายังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ เพราะทุกคนเข้าใจมารยาททางการเมืองดี เวลาที่ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลพ้นสภาพหรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก็หลีกทางให้กันอยู่แล้ว ส่วนการ เลือกตั้งใหญ่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การแถลงของตนเพื่อเตือนสตินายสัณหพจน์ ต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล จึงขอฝากนมอัดเม็ด และวิตามินซี ให้นายสัณหพจน์เพื่อจะได้มีวุฒิภาวะ จะได้โตขึ้น และคิดมากขึ้นก่อนจะออกมาพูดอะไรทางการเมือง

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวตอบโต้นายชัยชนะว่า ตนเสนอส่งผู้สมัครในนามส่วนตัว สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับมติพรรค อีกครั้งว่าจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งหรือไม่ และที่ผ่านมาปฏิบัติตามมารยาททางการเมือง เคารพ ส.ส.ทุกคน

ที่ผ่านมานายชัยชนะ พูดคุยกับตน ขอคำปรึกษาเรื่องต่างๆ ก็ให้ความร่วมมือมาตลอด เพราะถือว่าเป็น ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และอยู่ในพื้นที่จังหวัดเดียวกัน เป็นคนรุ่นใหม่ ที่อยากเห็นการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา จ.นคร ศรีธรรมราช ให้เดินหน้าไปในทิศทางที่ดี แต่ภาพที่เห็นคือการทำตัวเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตีโพยตีพาย งอแงเวลาไม่ได้ดั่งใจ หรือเพราะสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่นายชัยชนะ คลุกคลีอยู่ทุกวัน จึงทำให้คนรุ่นใหม่ ไร้ความเคารพและการให้เกียรติ ส.ส.ด้วยกัน ก็อาจจะเป็นได้ เชื่อว่าประชาชนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดและส่วนใหญ่เอือมระอากับวาทกรรมทางการเมืองที่บางพรรคนิยมเอามาใช้ โดยไม่สนใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน

‘วิฑูรย์’น้อยใจไขก๊อกพ้นปชป.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตส.ส.อุบลราชธานี อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน และอดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 26 ม.ค. โดยได้เขียนความในใจส่งเข้าไปในไลน์เพื่อนส.ส.พรรคที่ใกล้ชิดว่า เป็นนักการเมืองมา 30 ปี ตั้งใจว่าจะอยู่ประชาธิปัตย์พรรคเดียวไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถึงวันนี้ได้ไตร่ตรองทบทวนแล้ว เลยตัดสินใจลาออก ด้วยเหตุผล 6 ข้อ

1.การเลือกตั้งครั้งล่าสุด ขณะนั้นตนยังเป็นรองหัวหน้าพรรค ควรได้ลงบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ แต่พรรคให้อยู่ลำดับที่ 40 ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางได้เป็น ส.ส. 2.ตนไม่มีที่ยืนและไม่มีตำแหน่งที่พรรคมอบให้ ตนอายุ 62 ปียังมีไฟ ยังอยากทำงานการเมืองต่อไป และเชื่อว่าคนอุบลราชธานี ยังให้โอกาสเลือกพวกเรา 3.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เคยตกลงกับตนว่าจะให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี สุดท้ายก็ไม่ได้เป็น

‘จุรินทร์’บอกรู้สึกเสียดาย

4.หัวหน้าและเลขาธิการพรรค เคยรับปากว่าจะให้นายวุฒิพงศ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นหลานชาย เป็นประธานกมธ.การเกษตรและสหกรณ์ แต่สุดท้ายก็ใช้มติโหวตในที่ประชุมพรรค โดยทั้งสองคนไม่ช่วยอะไร ผลโหวตก็รู้กันว่าส.ส.ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนใต้ นายวุฒิพงษ์ เลยได้เป็นเพียงแค่ประธานกมธ.แก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ 5.ด้วยเหตุผลดังกล่าว ถือว่าไม่ให้ความสำคัญกับ ส.ส.อีสาน 6.นายวุฒิพงษ์ และตนจะไปอยู่พรรคใด เชื่อว่าคนอุบลราชธานียังให้โอกาส และ 7.ตนยังจะเป็นนักการเมืองต่อไป โดยไปสังกัดพรรคอื่นที่เขาให้เกียรติและให้โอกาสทำงานการเมืองต่อไป

“ผมยังรักและคิดถึงเพื่อนๆ ที่ยังอยู่พรรคประชาธิปัตย์ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกัน แม้จะอยู่คนละพรรค บุคคลที่ผมให้เกียรติ เกรงใจ เคารพนับถือมากที่สุด คือนายชวน หลีกภัย เคารพและศรัทธาไม่เปลี่ยนแปลง” นายวิฑูรย์ระบุ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกเสียดาย อยากให้นายวิฑูรย์เปลี่ยนใจแต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องเคารพการตัดสินใจด้วย ส่วนที่มีข่าวว่า นายวุฒิพงษ์ อาจลาออกด้วยนั้น เบื้องต้นนายวุฒิพงษ์ได้โทรศัพท์คุยกับตนแล้ว บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น

วิปรัฐบาลยันต้องแก้ญัตติซักฟอก

เมื่อเวลา 09.25 น. ที่รัฐสภา นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเสนอให้ฝ่ายค้านแก้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยตัดเนื้อหาที่พาดพิงสถาบันออกว่า บ่ายวันนี้ ผู้เกี่ยวข้องจะประชุมหารือเรื่องนี้ ยืนยันว่าจะเสนอให้แก้ญัตติ หากไม่แก้ไข จะทำให้การอภิปรายเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ส่วนจะมีคนลุกขึ้นประท้วงทันทีหรือไม่นั้น นายวิรัชกล่าวว่า ต้องถามนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และส.ส.อีกหลายคน ทุกคนกังวลว่าสมควรหรือไม่ที่จะเขียนญัตติลักษณะเช่นนั้น ทั้งที่ข้อบังคับการประชุมและรัฐธรรมนูญระบุว่าการจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องที่ไม่บังควร

สำหรับกรอบเวลาการอภิปรายนั้น หารือเบื้องต้นแล้ว คาดว่าใช้เวลา 4 วัน และขอเพิ่มมากว่านี้คงไม่ได้ เพราะสัดส่วนเวลาที่ฝ่ายค้านได้รับ หากใช้อย่างเต็มที่ก็มีเวลาเหลือเฟือ แต่ถ้ามีประเด็นว่ามีเอกสารประกอบการอภิปราย ก็ควรยื่นมาก่อนเพื่อให้ประธานสภามีเวลาตรวจก่อนว่าเอกสารที่ได้มานั้นถูกต้อง และมีการรับรองจากหน่วยงานของรัฐหรือไม่ ถ้าไปยื่นวันอภิปรายทันที จะไม่ทราบที่มาของเอกสาร จึงขอให้ส่งเอกสารตรวจสอบก่อน

‘สิระ’ขู่ประท้วงยิบ-ร้องยุบก้าวไกล

เวลา 13.50 น. นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรผ่านนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาคนที่สอง เพื่อขอให้ทบทวนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายสิระกล่าวว่า ญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นมีข้อความที่ว่านำสถาบันมาแบ่งแยกกับประชาชน ตนขอถามคนที่ร่างว่าหมายความว่าอย่างไร เรื่องนี้ขัดรัฐธรรมนูญ ประเพณีตั้งแต่มีประเทศไทยมาในสภาผู้แทนราษฎรไม่เคยมีส.ส.ยื่นญัตติที่มีข้อความล่วงเกินสถาบันได้ขนาดนี้ หากจะปล่อยไปแบบนี้ ตั้งแต่นาทีแรกตนจะประท้วงจนไม่ได้อภิปรายทั้ง 4 วัน

ตั้งแต่วรรคแรกที่ว่า “ไม่เชื่อมั่น และศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชา ธิปไตย” แค่ข้อความนี้ก็พอแล้ว แต่ยังมาต่อข้อความว่า “เป็นการทำลายสัมพันธ์กับสถาบันกับประชาชน” เมื่อเช้ามีบางพรรคปฏิเสธว่าไม่ใช่ข้อความของบางพรรค พร้อมบอกว่าเป็นข้อความของพรรคก้าวไกล จึงขอถามว่าพรรคก้าวไกลมีผู้อยู่เบื้องหลังอยู่หรือไม่ มีคนที่จ้องล้มล้างสถาบันให้เขียนอย่างนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นแกนนำอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ออกมาโจมตีสถาบันตลอดจะเป็นอีแอบ หรือเป็นคนชักนำหรือไม่ เรื่องนี้ถ้ามีบุคคลภายนอกพรรคมายุ่งเกี่ยวก็ถือว่าเข้าข่ายถูกยุบพรรคได้เหมือนกัน

เมื่อถามว่าจะไปยื่นร้องยุบพรรคหรือไม่ นายสิระกล่าวว่า ต้องดูว่าญัตติที่ยื่นมานี้มีบุคคลภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ ถ้าเข้าข่ายก็ต้องยื่นร้องยุบพรรค

‘ชวน’เสนอฝ่ายค้านทบทวน

เวลา 15.25 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันระหว่างนายชวน หลีกภัย ประธานสภา นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา กับวิปรัฐบาล นำโดยนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธาน วิปรัฐบาล นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และนายพิจารณ์ เชาว์พัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ในการประชุม วิปรัฐบาลไม่ได้พูดขอให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี แต่นายชวน ได้พูดขึ้นว่า ญัตติดังกล่าว นายศุภชัยได้ตรวจและเสนอมายังตนแล้ว ซึ่งมีบางถ้อยคำที่ฝ่ายค้านน่าจะทบทวน แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นถ้อยคำใด ซึ่งฝ่ายค้านได้ขอนำเรื่องกลับไปหารือกันก่อน ในที่ประชุมจึงยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องดังกล่าว

ต่อมาเวลา 15.40 น. นายสุทินให้สัมภาษณ์ว่า ยอมรับว่าอาจจะมีการปรับข้อความในญัตติยื่นอภิปรายเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความราบรื่นในการประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่าจะตัดเรื่องสถาบันออกหมดเลยหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ไม่ได้ตัดออกทั้งหมด แต่มีการปรับบางส่วนเท่าที่จำเป็น ซึ่งจะพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในเวลา 16.00 น. ที่ห้องผู้นำฝ่ายค้าน อาคารรัฐสภา

6พรรคลงมติไม่แก้แม้แต่คำเดียว

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ห้องผู้นำฝ่ายค้าน รัฐสภา นายสมพงษ์ ได้หารือกับตัวแทนฝ่ายค้าน 6 พรรค และแถลงข่าว ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ยื่นไปเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ถูกต้องทุกกระบวน ดังนั้น จะไม่มีการแก้ไขแม้แต่คำใดคำหนึ่ง ส่วนเรื่องการอภิปรายนั้น มั่นใจว่าส.ส.ทุกคน เข้าใจการพูดเกี่ยวกับสถาบัน ทุกคนระวังอยู่แล้ว อีกทั้งประธานที่ประชุมคอยดูแลกำกับอยู่ คิดว่าคงไม่มีปัญหา

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ยืนยันว่าญัตตินี้ไม่มีสิ่งใดผิดทั้งกฎหมายและข้อบังคับการประชุม หรือล่วงละเมิดสถาบัน เมื่อญัตติไม่ผิดรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ เป็นหน้าที่ประธานสภา ต้องบรรจุญัตติภายใน 7 วัน แล้วแจ้งให้รัฐบาลทราบต่อไป

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรอบเวลาการอภิปรายนั้น ฝ่ายค้านยังยืนยันว่าต้องอย่างน้อย 5 วัน บวกวันลงมติอีก 1 วัน เป็น 6 วัน ขั้นต่ำ การที่ฝ่ายรัฐบาลยืนยันจะให้อภิปรายแค่ 4 วัน คงไม่พอ และยังไม่ได้เป็นข้อตกลงกัน

เพื่อไทยเตือนมีเชือดบัญชี 2

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ สส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่า ส.ส.ซีกรัฐบาลออกมายืนปากกล้าขาสั่น เบี่ยงประเด็นเรื่องญัตติ เชื่อว่าคราวนี้ประชาชนจะได้เห็นต่อมสามัญสำนึกของความเป็นคน อาจมีรัฐมตรีประกาศลาออกกลางสภา หรืออาจจะได้เห็นฉายาใหม่ของรัฐมนตรีว่า “กระดาษทรายเรียกพี่” และจะได้เห็นว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เพราะจะพิสูจน์ว่าต่อมความดีของส.ส.พรรครัฐบาลยังจะมีใครยอมโหวตให้ผ่านหลังการอภิปรายหรือไม่

ขอฝากไปยังรัฐมนตรีที่ไม่มีชื่อถูกอภิปรายว่าอย่าเพิ่งลอยตัว นึกว่ารอดแล้วทำเป็นชิลๆ โดยเฉพาะอักษรย่อ จ อ ส พ และ ด อย่านึกว่ารอดเขียงนี้ จะปลอดโปร่งโล่งสบายลมมันเย็นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขา เพราะยังมีรัฐมนตรี อีกนับสิบมีพฤติกรรมส่อทุจริต เอื้อพวกพ้อง ลุแก่อำนาจ บางรายเขียนโครงการ ทำโครงการหวังเงินทอนสถานเดียว ซึ่งบัญชี 2 นี้จะถูกดำเนินการ หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจะติดตามผลในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) และการตั้งกระทู้กลางสภา ที่จะมัดด้วยพยานหลักฐานชนิดดิ้นไม่หลุดแน่นอน นำไปสู่ขั้นตอนร้องคณะกรรมการป้องกันและปรบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แน่นอน

“บางคนคิดว่ามีลูกพี่เป็นรองนายกฯ ตัวเองเป็นรัฐมนตรี ชงกันเองกินกันเอง ที่สำคัญที่มันที่สุดคือ พรรคพวกในพรรครัฐบาลทั้งนั้นที่ช่วยส่งข้อมูลมาเพิ่มให้ฝ่ายค้านกะซวกเสียด้วยซ้ำ” นายจิรายุกล่าว

‘ขวัญเลิศ-คารม’ไม่ร่วมแก้ม.112

ด้านนายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ส่วนตัวว่า บางจุดยืนของพรรค ไม่ใช่จุดยืนของผม พร้อมโพสต์ข้อความระบุตารางแผนการตรวจค้นหาโควิด-19 เชิงรุก โดยรถพระราชทานตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย ที่มีให้บริการตรวจเชิงรุกฟรี แก่ประชาชน ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.-2 ก.พ. อีกด้วย

นายขวัญเลิศ ให้สัมภาษณ์ว่า ขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค ซึ่งตนยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน ตนไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรคได้ เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว ตนไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรครวมถึงพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้โอกาสมาทำหน้าที่ตรงนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ในช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค.ถึงจุดยืนส.ส.พรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังมีชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยนายคารม ประกาศไม่ร่วมลงชื่อร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เช่นกัน

นายคารม กล่าวว่า ด้วยเอกสิทธิ์ส.ส.แล้ว ยังไงผมก็ไม่เซ็น เราเป็นส.ส.ย่อมต้องมีจุดยืน คาดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 3 คนที่จะไม่ขอลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค

ก้าวไกลปัดไร้สัญญาณงูเห่า

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอยืนยันก่อนว่าการแก้ไขมาตรา 112 เราทำแพ็กเกจ ไม่ใช่เฉพาะการแก้มาตรา 112 แต่รวมถึงกฎหมายหมิ่นประมาทระหว่างบุคคลต่อบุคคล บุคคลกับเจ้าหน้าที่รัฐ และมาตรา 112 ด้วย รวมทั้งพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นชุดการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ ซึ่งสรุปแล้วเราพยายามจะแก้ไขให้เพื่อจะปกป้องสถาบันภายใต้บริบทของโลก โดยยังสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และปกป้องสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนได้ด้วย พร้อมธำรงไว้ซึ่งความเมตตาของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของเราด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าส.ส.เหล่านั้น เคยมีข่าวจะย้ายพรรค และ ขณะนี้ใกล้ช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีงูเห่าเกิดขึ้นหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ไม่มีสัญญาณอย่างนั้น และไม่มีผลกระทบต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย ทีมงานที่เตรียมงานในเรื่องอภิปรายก็เป็นคนละทีมกัน

ต่อมา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า ถ้าส.ส.คิดว่าส.ส.เป็น “อาชีพ” ต้องเป็นต่อไปเรื่อยๆ เขาจะขาดความเป็นอิสระ ขาดความกล้าหาญ และสยบยอมต่อกลไกรัฐ ไม่กล้าท้าทายปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ในท้ายที่สุด ส.ส. ก็จะกลายเป็น “พนักงานของรัฐ” ไป

หาก ส.ส. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพและอำนาจประชาชน กฎหมายที่แปลง “ประชาชน” ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ให้กลายเป็น “ไพร่” แล้ว ส.ส.ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น

เมื่อ ส.ส.ถูกทำให้เป็น “พนักงานของรัฐ” ไม่ใช่ “ผู้แทนประชาชน” แล้ว กลไกรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยก็ได้ครอบงำเบ็ดเสร็จ เมื่อสถาบันทางการเมืองที่ถืออำนาจรัฐไม่อาจสนองตอบความต้องการประชาชนได้ เมื่อนั้น “ประชาชน” จักปรากฏกายขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงกันเอง

มติกมธ.-ให้เลือกตั้ง 200 ส.ส.ร.

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. … กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมได้ลงมติร่างมาตรา 256 ผลการลงมติในประเด็นสำคัญ เช่น การได้มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เห็นควรให้มีส.ส.ร. 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ และเห็นด้วยกับการใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ดังนั้น แต่ละจังหวัดจะมีสัดส่วนส.ส.ร.ที่แตกต่างกันตามจำนวนประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

มติดังกล่าวยังไม่ใช่ข้อยุติ กมธ.ชุดนี้ทำหน้าที่พิจารณารายละเอียด ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นและกำหนดปฏิทินไว้เท่านั้น โดย กมธ.จะอภิปรายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 4 ก.พ. จากนั้น จะเป็นขั้นตอนการแปรญัตติ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้เชิญผู้แปรญัตติ 109 คน มาชี้แจงประกอบคำแปรญัตติในวันศุกร์ที่ 5 ก.พ. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของ กมธ. ท้ายที่สุดการแก้ไขจะเป็นอย่างไรต้องรอที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 24-25 ก.พ.

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานกมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า หากเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กมธ.กำหนดไว้ ในสัปดาห์หน้าจะเชิญสมาชิกที่ ขอแปรญัตติมาชี้แจง จากนั้นจะสรุปเล่มและ ส่งเรื่องให้ประธานรัฐสภาเพื่อเตรียมพร้อมพิจารณาวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 24-25 ก.พ.

ดัชนีทุจริต-อันดับไทยร่วง 104 โลก

วันเดียวกัน นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ได้ประกาศคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ประจำปี 2020 (พ.ศ.2563) จาก 180 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศเดนมาร์กและนิวซีแลนด์ ยังครองอันดับที่ 1 ของโลก ด้วยคะแนนสูงสุด 88 คะแนน ขณะที่ไทยได้ 36 คะแนน เท่ากับปี 2562 จัดอยู่ในอันดับที่ 104 ของโลก (ปี 2562 อยู่อันดับที่ 101 ของโลก) และอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศอาเซียนเท่ากับเวียดนาม ซึ่งสิงคโปร์ ได้คะแนนสูงสุด 85 คะแนน รองลงมาคือ บรูไน 60 คะแนน มาเลเซีย 51 คะแนน อินโดนีเซีย 37 คะแนน ไทยและเวียดนาม 36 คะแนน ฟิลิปปินส์ 34 คะแนน ลาว 29 คะแนน เมียนมา 28 คะแนน และกัมพูชา 21 คะแนน

แม้ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของไทย ในปี 2563 จะเท่ากับปี 2562 แต่พบว่าจากแหล่งข้อมูลทั้ง 9 แหล่ง ไทยได้คะแนนลดลง 1 แหล่ง คือ แหล่งข้อมูล IMD World Competitiveness Yearbook ได้ 41 คะแนน ปี 2562 ได้ 45 คะแนน ลดลง 4 คะแนน โดย IMD นำข้อมูลสถิติทุติยภูมิและผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง ไปประมวลผลจัดอันดับ

โดยมีประเด็นที่นำมาคำนวณจากแบบสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงในไทยคือ “มีการติดสินบนและคอร์รัปชั่นหรือไม่” ซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่า ยังมีปัญหาการให้และรับสินบนและการคอร์รัปชั่นของ เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐยอมรับสินบนลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ปัญหาสินบนจากลักลอบเข้าประเทศของแรงงานผิดกฎหมาย ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตยังไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติอนุญาต ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลื่อนตัดสิน – นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้กำลังใจนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ นายเสรี วงษ์มณฑา นายสกลธี ภัททิยกุล และนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม 4 แกนนำกปปส. เดินทางมาฟังคำพิพากษาคดีกบฏ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 6 พ.ค.2564 ที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 28 ม.ค.

‘เทือก’ลุ้นตัดสินคดีกบฏ24ก.พ.

วันที่ 28 ม.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีกบฏ กปปส. สำนวนแรก ชุด 4 ส. หมายเลขดำ อ.1191/2557, อ.1298/2557, อ.1328/2557 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นายสกลธี ภัททิยกุล นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และนายเสรี วงษ์มณฑา เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏและข้อหาอื่นๆ กรณีจำเลยร่วมกันชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2556-2557 โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2562 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ โดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมกับจำเลยทั้งสี่

ต่อมาศาลได้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ออกไปก่อน เนื่องจากคำพิพากษายังไม่เสร็จ โดยนัดอ่านอีกครั้งในวันที่ 6 พ.ค. เวลา 09.00 น.

นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีกปปส.ว่า มีคนที่ถูกดำเนินคดีแยกกันออกไป บางคดีจบในศาลชั้นต้น บางคดีถึงศาลอุทธรณ์ จำนวนหนึ่งไปถึงศาลฎีกา วันนี้เป็นคดีกบฏเล็ก 4 คน ศาลชั้นต้นยกฟ้องไปแล้ว แต่อัยการอุทธรณ์ ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษา ส่วนคดีชุดใหญ่อีก 39 คน ศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 24 ก.พ. เราต่อสู้คดีตามปกติ เคารพยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ต่อสู้ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน