อีกแห่ง-ที่เมืองลำปาง
คาดลืมดับเทียนมาฆะ

ไฟป่าแม่สะเรียงโหมหนัก สะเก็ดไฟกระเด็นไหม้วัดบ้านห้วยโผวอดทั้งหลัง กลางดึก พระ-เณร ระดมกำลังดับไฟจ้าละหวั่น เผยเป็นไฟป่าที่อยู่รอบวัด ก่อนสะเก็ดไฟกระเด็นโดนหลังคา ก่อนลุกลามอย่างรวดเร็ว แถมเป็นพื้นที่สูง รถดับเพลิงขนาดใหญ่เข้าไม่ได้ ชาวบ้านต้องช่วยกันทำแนวป้องกันไฟป่า หวั่นลามเข้าหมู่บ้าน ส่วนที่ลำปางไฟไหม้ศาลาการเปรียญ วัดชมภูหลวง ต้องช่วยกันดับวุ่นวาย ตร.ตรวจสอบคาด 2 ประเด็น ไฟฟ้าลัดวงจร หรือลืมดับธูปเทียนวันมาฆบูชา

วัดวอด – พระอธิการอนุวัฒน์ สิริภัทโท เจ้าอาวาสวัดชมภูหลวง จ.ลำปาง ตรวจดูความเสียหายจากเหตุไฟไหม้ศาลาการเปรียญ ซึ่งส่วนด้านหน้าสร้างจากไม้สักเสียหายทั้งหมด สาเหตุอยู่ระหว่างสอบสวน เมื่อ 27 ก.พ.

วันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.55 น. วันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา นายสังคม คัดเชียงแสน นายอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน รับแจ้งเหตุไฟไหม้วัดบ้านห้วยโผ หรือวัดสุวรรณโคมคำ หรือสถาบันสติปัฏฐาน ปฏิสัมภิทามรรค รัตตัญญูศาสตร์ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน จึงประสานไปยังหน่วยดับเพลิงของพื้นที่อำเภอแม่สะเรียง และ อำเภอสบเมย โดยเจ้าหน้าที่ต่างระดมรถน้ำดับเพลิง จาก 2 อำเภอทั้งอำเภอแม่สะเรียง และ อำเภอสบเมยเข้าดับไฟ แต่ด้วยสภาพเส้นทางขึ้นไปยังจุดเกิดเหตุสูงชันกว่า 500 เมตร รถบรรทุกน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปดับไฟที่ลุกโหมหนักได้ มีเพียงรถน้ำขนาดเล็ก 1 คันเท่านั้น ที่ขึ้นไปถึงจุดเกิดเหตุอาคารที่ไฟไหม้ แต่ก็ไม่ทันการณ์ เนื่องจากไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว และกระจายไปในพื้นที่ป่าโดยรอบของวัด ชาวบ้านต้องช่วยกันสกัดไฟป่าด้วยความยากลำบาก ส่วนรถน้ำทั้งหมดก็เฝ้าระวังและฉีดน้ำสกัดบริเวณด้านล่างเพื่อไม่ให้เพลิงลุกลามลงมาถึงบ้านเรือนราษฎร โดยใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง จึงสามารถสกัดดับไฟบริเวณตัวอาคารและไฟป่ารอบๆ ได้

ทั้งนี้ พระที่จำอยู่วัดสุวรรณโคมคำ กล่าวว่า ช่วงหัวค่ำเกิดไฟป่าขึ้นบริเวณเขาด้านหลังที่ตั้งของอาคาร แล้วจู่ๆ เกิดสะเก็ดไฟป่าปลิวตกลงบนหลังคาซึ่งเป็นไม้ ทำให้ไฟลุกลาม ไม่สามารถดับได้ ประกอบกับอาคารดังกล่าวเป็นครึ่งปูนครึ่งไม้ ตัวอาคารส่วนใหญ่บริเวณชั้นสองเป็นไม้สักทั้งหลัง ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ยากแก่การควบคุม ทั้งนี้ขณะเกิดเหตุเกิดกระแสลมแรง และรถดับเพลิงที่สามารถขึ้นไปดับไฟได้ต้องเป็นรถดับเพลิงขนาดเล็ก ไม่สามารถดับไฟได้ทันท่วงที ทำให้เพลิงลุกโหมหนัก ส่งผลให้อาคารดังกล่าววอดทั้งหลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่รอบพื้นที่ยังคงมีไฟป่าลุกลามกระจายไปทั่วทำให้ เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าแม่สะเรียง และ ชาวบ้านต้องคอยเฝ้าระวังและดับไฟที่กระจายไปพื้นที่บริเวณโดยรอบของอาคารปฏิบัติธรรมดังกล่าว หวั่นลุกลามเข้าหมู่บ้าน

ส่วนอีกกรณี เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 27 ก.พ. ศูนย์วิทยุ 191 ลำปาง รับแจ้งว่าเกิดเหตุไฟไหม้ศาลาการเปรียญภายในวัดชมภูหลวง เลขที่ 353 หมู่ 7 ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลเมืองเขลางค์นคร พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยอัมรินทร์ รุดช่วยเหลือ จากนั้นประสาน ร.ต.อ.ชยณัฐ เตชะผาติกุล รอง สว.(สอบสวน) สภ.เขลางค์นคร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เบื้องต้นพบไฟลุกไหม้ศาลาการเปรียญบริเวณด้านหน้าวัดอย่างรุนแรง เนื่องจากด้านหน้าศาลาสร้างจากไม้สัก ไฟลุกลามเข้าไปด้านในศาลา ทำให้เพดานและกระเบื้องได้รับความเสียหาย พระอธิการอนุวัฒน์ สิริภัทโท เจ้าอาวาสวัดชมภูหลวง สามเณร และชาวบ้าน พยายามช่วยกันขนน้ำมาดับไฟและขนข้าวของออกมา แต่ไม่ทัน เพราะไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ระดมกันฉีดน้ำใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่ศาลาเสียหายกว่าครึ่งหลัง

ต่อมาในช่วงเช้าทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตั้งประเด็นสาเหตุไว้ 2 เรื่อง คือ เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร และการจุดเทียนไว้ในวันมาฆบูชา ซึ่งต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป นอกจากนั้นยังมีทางชาวบ้าน ชมภูหลวง ต่างเข้ามาช่วยกันขนข้าวของออกจากศาลา และทำความสะอาด เพื่อให้ช่างมาตรวจสอบและประเมินการปรับปรุงซ่อมแซมศาลาดังกล่าว เนื่องจากเป็นจุดที่ทำกิจกรรมต่างๆ ของวัด

พระอธิการอนุวัฒน์ สิริภัทโท เจ้าอาวาสวัดชมภูหลวง เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณ 02.40 น. ขณะที่กำลังจำวัดอยู่ ซึ่งกุฏิเจ้าอาวาสอยู่ติดกับศาลาการเปรียญที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงกระจกแตกและของตก จึงสะดุ้งตื่น เห็นแสงไฟจ้าและมี ไอร้อนเข้ามาใกล้ตัว จึงรู้ว่าไฟไหม้ จึงลุกออกจากกุฏิไปเรียกสามเณรและเด็กวัดมาช่วยกันดับไฟ แต่ก็ไม่ทันเพราะด้านหน้าศาลาเป็นไม้สัก เปลวไฟพุ่งขึ้นไหม้หลังคาไปทั้งหมดแล้ว จึงแจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงดังกล่าว

สำหรับศาลาการเปรียญแห่งนี้ก่อสร้างบูรณะเมื่อปี 2547 ใช้งบประมาณก่อสร้าง 3.5 ล้านบาท โดยได้นำไม้สักจากศาลาไม้เก่ามาก่อสร้างบริเวณด้านหน้า ส่วนด้านในก่อเป็นปูน ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ของวัดทั้งงานบุญ งานขาวดำ และได้ทำพิธีฉลองสมโภชเมื่อปี 2551 ศาลานี้จึงมีอายุประมาณ 10 กว่าปี

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตั้งสาเหตุไว้ 2 เรื่องคือ ไฟฟ้าลัดวงจร และจุดเทียนทิ้งไว้ เนื่องจากก่อนเกิดเหตุทางวัดได้จัดกิจกรรมเวียนเทียน เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งมีชาวบ้านมาร่วมทำบุญจำนวนมาก จนถึงเวลา 21.00 น. ร่วมกันกับสามเณรตรวจตราและดับเทียนทั้งหมดแล้วก่อนที่จะเข้าจำวัดกัน ซึ่งไม่ทราบว่าไฟเทียนจะปะทุขึ้นมาอีกหรือไม่

เจ้าอาวาสวัดชมภูหลวงกล่าวอีกว่า การดำเนินการต่อไปคือให้ช่างเข้ามาประเมินว่าจะซ่อมแซมศาลาได้หรือไม่ หากซ่อมได้ก็จะต้องซ่อมไปก่อน เพราะทางวัดไม่มีงบประมาณจำนวนมากที่จะสร้างศาลาหลังใหม่ เพราะเป็นวัดไม่ใหญ่ มีศรัทธาญาติโยมในหมู่บ้านเพียง 200 ครัวเรือนเท่านั้น จากที่ประเมินเบื้องต้นยังไม่รวมโครงสร้างนั้น คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท หรืออาจจะมากกว่านั้น ในตอนนี้หากมีการจัดกิจกรรมใดๆ ก็จะต้องใช้วิธีกางเต็นท์ไปก่อนชั่วคราว ทั้งนี้ หากต้องการช่วยเหลือ สามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาเขลางค์นคร ชื่อบัญชี วัดชมภูหลวง เลขที่ 552-1-05175-9

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน