จี้‘ทหาร’ถอนตัว
ยื่นปชป.-ภท.ด้วย

7 ปีรัฐประหาร จาตุรนต์ชี้ไทยวิกฤตหนัก ไม่ ‘เสียของ’ แต่ประเทศเสียหายยับเยิน ติดกับดักทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ระบุปีที่ 8 ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อประเทศไทยหลุดพ้นวิกฤต จตุพรเดินสายไล่ประยุทธ์ เริ่มวันนี้ ยันไม่ใช่เปลี่ยนม้ากลางศึก เชื่อหากชุมนุมได้จะยิ่งกว่าเขื่อนแตก เพื่อไทยชี้ 7 ปีเสื่อมถอยทุกด้าน เศรษฐกิจทรุด การเมืองถอยหลัง สังคมแตกแยก การสาธารณสุขล้มเหลว กลุ่มพีเพิลโกเน็ตเวิร์กทำกิจกรรม ‘เปิดไฟให้ดาว-เรายังฝันอยู่’ เพนกวินทวีตเผด็จการปล้นชีวิตวัยรุ่น แต่ให้กำเนิดเพนกวินที่อุทิศตนให้การต่อสู้พร้อมเพื่อนๆ โพลชี้เพจย้ายประเทศไม่คิดย้ายประเทศ หวังรัฐบาลรับฟัง เปิดกว้างทาง ความคิด

อ๋อยชี้วิกฤต‘7 ปีรัฐประหาร’

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบน เฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang เรื่อง “ปีที่ 8 หลังการรัฐประหารจะต้องเป็นปีแห่งการเปลี่ยน แปลง” ระบุว่า ครบรอบ 7 ปีเป็นช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในวิกฤตหนักหน่วงรุนแรงมากที่สุด ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2557 สถานการณ์ของประเทศทรุดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งความล้มเหลวในการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความล่าช้าในการฉีดวัคซีน

ทำให้มีผลต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลไม่สามารถเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนและยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้เลย ขณะนี้ประเทศไทยติดกับดักทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง ต้นตอของวิกฤตนี้มาจากการรัฐประหารและการวางระบบกติกาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ คณะรัฐประหารมุ่งมั่นว่าจะต้องทำให้การรัฐประหารไม่ “เสียของ” ซึ่งพวกเขาก็ทำสำเร็จคือทำให้พรรคการเมือง ระบบการเมืองและระบบรัฐสภาอ่อนแอลง นอกจากนี้ยังมียุทธศาสตร์ชาติที่จะใช้กำกับควบคุมทิศทางในการบริหารประเทศไปอีกยาวนาน ผู้ทำรัฐประหารกับพวก ไม่ “เสียของ” แต่ประเทศเสียหายยับเยิน

เผชิญกับดักศก.-การเมือง

นายจาตุรนต์ระบุต่อว่าหลายฝ่ายเริ่มเห็นตรงกันว่าหากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ยังบริหารต่อไป ประเทศชาติจะเสียหายมากขึ้นถึงขั้นหายนะ จึงมีเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่ระบบกติกาที่สร้างไว้ก็ยังคุ้มกันปกป้องไม่ให้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ง่ายๆ จนมีความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญกันขึ้น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ 7 หลังการรัฐประหารนี้เองได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการจะเปลี่ยนระบบกติกาคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้อีก นี่คือการติดกับดักทางการเมืองที่คณะรัฐประหารกับพวกวางไว้ ที่ติดกับดักอีกเรื่องหนึ่งคือเศรษฐกิจ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพและบริหารไม่เป็น ประชาชนขาดรายได้ ยากจนและมีหนี้สินมากขึ้น

การลักไก่อนุมัติการออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกู้เงินอีก 7 แสนล้านบาท ที่ไม่สามารถอธิบายถึงความจำเป็นและไม่มีแผนรองรับ ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับอย่างรุนแรง กับดักทางเศรษฐกิจและการเมืองผูกติดกันอย่างแยกไม่ออก ปัญหาทั้งหลายรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรี รัฐบาลและระบบกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการสืบทอดอำนาจเผด็จการรัฐประหาร หากประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวิกฤตนี้ได้ ต้องทำลายกับดักเหล่านี้เสีย คือต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ปีที่ 8 หลังการรัฐประหาร จะต้องเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤต มิฉะนั้นอาจต้องอยู่กับความวิบัติหายนะกันไปอีกนาน

ไม่ทนประยุทธ์ – นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จัดปราศรัยออนไลน์ #ไทยไม่ทน จี้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากรัฐบาล และเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ที่ห้องประชุมไทยไม่ทน สถานีโทรทัศน์พีซทีวี เมื่อวันที่ 23 พ.ค.

จตุพรเดินสายไล่ประยุทธ์

วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมไทยไม่ทน สถานีโทรทัศน์พีซทีวี คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย จัดปราศรัยออนไลน์ #ไทยไม่ทน โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.เป็นต้นไป กลุ่มไทยไม่ทนฯ นำโดยนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ นายวีระ สมความคิด นาย ไทกร พลสุวรรณ และตน จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงหน่วยงานและบุคคลต่างๆ โดย วันที่ 24 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กระทรวงพาณิชย์

เนื่องจากก่อนการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์เคยประกาศจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงต้องไปเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล จากนั้นในวันที่ 25 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ต่อมาวันที่ 26 พ.ค. เวลา 10.00 น. ไปพรรคภูมิใจไทย เพื่อเรียกร้องให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนวันที่ 27 พ.ค. เวลา 10.00 น. ไปกองบัญชาการทหารบก ยื่นหนังสือให้ผบ.ทบ. ให้ทหารทำหน้าที่ทหาร อย่าทำหน้าที่นักการเมือง รวมถึง เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาไม่ควรมาค้ำบัลลังก์ให้พล.อ.ประยุทธ์

ยันไม่ใช่เปลี่ยนม้ากลางศึก

นายจตุพรกล่าวต่อว่าการไปยื่นหนังสือถึงหน่วยงาน บุคคลต่างๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่าด้วยสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน พล.อ. ประยุทธ์ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป ตั้งแต่มีนายกฯ มา พล.อ.ประยุทธ์ใช้งบประมาณมากที่สุด กู้มากที่สุด คนเดือดร้อนมากที่สุด แก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองไม่ได้เราจึงต้องลุกมาจัดการ การต่อสู้ของพวกเรายึดมั่นแนวทางสันติวิธี เชื่อมั่นในพลังประชาชนที่จะมาจัดการรัฐบาลที่ไม่ทำตามคำมั่นสัญญา ไม่ใช่การเปลี่ยนม้ากลางศึกเมื่อม้าใช้ไม่ได้ต้องเอาไปรักษา เอาไปรบไม่ได้ ไม่เช่นนั้นประเทศจะเสียดินแดนที่ถามว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เอาใคร ก็ต้องบอกว่าใครก็ได้ที่ไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่าหากวันหนึ่งพอจะออกไปชุมนุมกันได้ จะยิ่งกว่าเขื่อนแตก สิ่งที่พวกเราเริ่มต้นมาได้รับการขานรับเป็นอย่างดี นับจากวันที่ 24 พ.ค.เป็นต้นไป จะเริ่มยกระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะออกไป

พท.ชี้ 7 ปีเสื่อมถอยทุกด้าน

ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ครบรอบ 7 ปีการปฏิวัติรัฐประหาร ประเทศไทยเสื่อมถอยทุกด้าน การบริหารประเทศ 7 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เศรษฐกิจไทย 7 ปี ขยายตัวเฉลี่ยได้เพียงปีละกว่าร้อยละ 1 เท่านั้น หนี้สาธารณะไทยจะพุ่งเกิน 9 ล้านล้านบาท และจะทะลุเพดาน ร้อยละ 60 หนี้ครัวเรือนทะลุ ร้อยละ 92 แล้ว และยังพุ่งต่อ

ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มกังวลต่อหนี้เสียที่มากขึ้น ธุรกิจปิดตัวกันมาก การว่างงานพุ่งสูง รายได้ประชาชนลดลงกันถ้วนหน้า สังคมแตกแยกมาก มีการจับกุมคนเห็นต่าง คนรุ่นใหม่หมดความหวัง อยากจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น นอกจากนี้ยังมีความล้มเหลวทางสาธารณสุขที่คนติดไวรัสทั้งเจ็บและล้มตายกันมาก การเมืองย้อนยุคไป 30 ปี มีพรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมด ไม่สามารถดำเนินนโยบายได้ พรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งหนัก รัฐธรรมนูญมีปัญหามากแต่ไม่ยอมแก้ไขเพราะกลัวเสียอำนาจ

หวั่นประเทศย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อว่า หากไม่มีการปฏิวัติ ประเทศไทยคงพัฒนาไปกว่านี้มาก ประเทศคงมีรถไฟความเร็วสูงไปเชียงใหม่และหนองคายเชื่อมต่อประเทศจีนไปแล้ว ภาคเหนือและภาคอีสานจะมีการพัฒนาอย่างมาก มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี ไม่ต้องมากังวลน้ำท่วมน้ำแล้งกันทุกปี เด็กไทยจะมีความสามารถทางด้านเศรษฐกิจดิจิตอลจากโครงการแจกแท็บเล็ต และน่าจะต้องมีบริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นเกิดขึ้นกันมาก

หากไม่มีปฏิวัติ คนไทยคงมีความสุขกว่านี้มาก ครบ 7 ปีการปฏิวัติ ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกด้าน พล.อ.ประยุทธ์พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำที่ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอและตามโลกไม่ทัน อีกทั้งยังไม่สามารถแยกแยะลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ได้ หากพล.อ.ประยุทธ์ยังคงดื้อรั้นที่จะเป็นผู้นำต่อไป ประเทศไทยจะยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ และจะทำให้เกิดหนี้สินล้นประเทศ ประเทศจะเสียหายจนเกินเยียวยา รัฐบาลในอนาคตจะประสบความยากลำบากอย่างมากในการแก้ปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เปิดไฟให้ดาว – กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมาก ร่วมกิจกรรม ‘เปิดไฟให้ดาว เรายังฝันอยู่’ โดยมีการวัดอุณหภูมิและเว้นระยะห่าง ตามมาตรการป้องกันโควิด ที่ลานหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ เมื่อค่ำวันที่ 23 พ.ค.

เปิดไฟให้ดาว-เรายังฝันอยู่

เวลา 17.30 น. ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มพีเพิลโกเน็ตเวิร์ก ทำกิจกรรม “เปิดไฟให้ดาว ฟินาเล่-ไลท์อัพ ฟรีดอม วี แฮฟ อะ ดรีม-เรายังฝันอยู่” ประชาชนทยอยเดินทางเข้าร่วมโดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงนำเสื้อยืดลวดลายภาพนักกิจกรรมทางการเมืองมาแจกจ่ายและจำหน่าย ในขณะที่บางส่วนนำแผ่นป้ายข้อความ “7 ปีแล้วนะ..” และ “#ยกเลิกประยุทธ์” มาติดไว้โดยรอบ ทั้งนี้ผู้จัดดำเนินการตามมาตรการทางสาธารณสุข

เวลา 17.40 น. นายถนอม ขาภักดี นักวิจารณ์ศิลปะชื่อดัง และนายภาสกร อินทุมาร อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางมาถึง ตามด้วยนาย เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ แกนนำกลุ่มพีเพิลโกเน็ตเวิร์ก ต่อมามีการนำกระดาษสีขาววางบนพื้นเชิญชวนให้ร่วมกัน “เขียนความฝัน”

เวลา 18.00 น. มีการแสดงของกลุ่ม ราษดรัม การปราศรัยในหัวข้อ “ฝันถึงวันโต้กลับของพลเมือง” โดยนายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ คนขับแท็กซี่ หนึ่งในพลเมืองโต้กลับ ตามด้วยการแสดงของ “นาฏ พระจันทร์เสี้ยวการละคร” จากนั้นนางปิยนุช โคตรสาร ผอ.แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวในประเด็น “ฝันถึงสิทธิมนุษยชนที่เลือนหาย” ต่อด้วยการแสดงของ เอ้ เดอะ วอยซ์ และน้ำ คีตาญชลี

จากนั้นนายบุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในประเด็น “ฝันว่าไม่มีเผด็จการ 7 ปี ของความถดถอย ยังไม่สายสำหรับการกลับตัวใหม่” และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในประเด็น “ฝันถึงการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว ฝันถึงการเมืองใหม่ของทุกคน” จากนั้นเป็นการแสดงดนตรีจากวงสามัญชน และกิจกรรมเปิดไฟให้ดาว โดยมีกลุ่มประชาชนที่ทำกิจกรรมกางร่ม “ยืนหยุดขัง” บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเดินทางมายืนกางร่มบนสกายวอล์กหันหน้าเข้าสู่ลานหอศิลป์ กทม.

กวิ้นชี้เผด็จการปล้นชีวิต

นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร ทวีตข้อความระบุว่า หากไม่มีรัฐประหาร ตนคงใช้เวลาไปในการอ่านหนังสือ ค้นคว้าประวัติศาสตร์ เผด็จการปล้นชีวิตวัยรุ่นไป แต่ก็ให้ชีวิตวัยรุ่นแบบที่ไม่เสียใจที่ได้ใช้มา ถ้าไม่มีรัฐประหาร วันๆ หนึ่งคงใช้ไปกับการอ่านหนังสือ ค้นคว้าประวัติศาสตร์ตามที่อยากรู้ ท่องไปตามโบราณสถานที่นั่น ที่นี่ รัฐบาลทำลายเพนกวินที่อุทิศตนให้ประวัติศาสตร์ แต่ให้กำเนิดเพนกวินที่อุทิศตนให้การต่อสู้ขึ้นมา พร้อมๆ กับเพื่อนๆ ที่ร่วมกันต่อสู้อีกหลายคน ระบอบเผด็จการปล้นชีวิตวัยรุ่นแบบที่อยากใช้ แต่ก็ให้ชีวิตวัยรุ่นแบบที่ไม่เสียใจที่ได้ใช้มา

เพจย้ายปท.หนุนรบ.รับฟัง

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ปิดเพจย้ายประเทศ ชาวบ้านเขาว่ากัน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,098 ตัวอย่าง ระหว่าง วันที่ 17 – 22 พ.ค. 2564 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 89.4 ต้องการพื้นที่แสดงความเห็นสร้างสรรค์ผ่านเพจกลุ่มย้ายประเทศ รองลงมา ร้อยละ 86.4 ต้องการให้รัฐบาลติดตามใช้ประโยชน์ต่อยอดออกนโยบายพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น ร้อยละ 85.2 ต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมเปิดพื้นที่และรับฟังประชาชนอย่างเสรีและสร้างสรรค์ ร้อยละ 83.8 ระบุรัฐบาลควรดึงคนรุ่นใหม่ในเพจย้ายประเทศ มาร่วมพัฒนาประเทศทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ร้อยละ 81.2 ระบุรัฐบาลควรนำเสียงของประชาชนที่บริสุทธิ์ใจไปขับเคลื่อนแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชน

ส่วนใหญ่ไม่ต้องการย้ายปท.

นายนพดลกล่าวต่อว่าประเด็นพูดคุยในเพจย้ายประเทศให้ข้อคิดและมีประโยชน์ โดยพบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.8 เป็นเรื่องสาธารณสุข เช่น การระดมวัคซีน กระจายวัคซีน ฉีดวัคซีน มีเพียงพอต่อความต้องการ ร้อยละ 48.6 ระบุพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน เช่น กลุ่มวิชาชีพ พยาบาล แพทย์ ช่างไฟฟ้า ช่างแอร์ และช่างเครื่อง ร้อยละ 46.8 ระบุด้านกฎหมาย เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานร้อยละ 44 ระบุโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชน จัดระเบียบรถมอเตอร์ไซค์รถยนต์ใช้ถนนร่วมกัน แก้รถติด ร้อยละ 42.4 ระบุการศึกษา

สำหรับความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลในการรับฟังทุกปัญหาผ่านทุกช่องทางให้เป็นพื้นที่เสรีทางความคิด ส่วนใหญ่ ร้อยละ 92.8 ระบุต้องการให้รัฐบาลเปิดใจกว้างรับฟังเสียงของประชาชน คืนพื้นที่ให้เพจย้ายประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 7.2 ระบุไม่ต้องการ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.9 ไม่ต้องการย้ายประเทศ เพราะรักประเทศไทย รักแผ่นดินไทย ภูมิใจที่เกิดบนแผ่นดินไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค พร้อมเกิดที่นี่ตาย ที่นี่ ประเทศไทยนี้ยามปกติมีชีวิตมีชีวา แต่ประเทศอื่นมีชีวิตไม่มีชีวา เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 18.1 ต้องการย้ายไปประเทศอื่น เรียงลำดับ ได้แก่ สหรัฐ อเมริกา อังกฤษ แคนาดา เยอรมนี ญี่ปุ่น ประเทศตะวันออกกลาง และอื่นๆ

หวังเปิดกว้างทางความคิด

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่าผลโพลชิ้นนี้สะท้อนว่าเพจย้ายประเทศเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดการพัฒนาประเทศอย่างสร้างสรรค์ของคนกลุ่มใหญ่ที่ ไม่ควรถูกมองข้าม โดยมีการนำมุมมองและประสบการณ์ของหลายคนในหลายประเทศมาแลกเปลี่ยน แบ่งปันและเปรียบเทียบกับประเทศไทย อยากเห็นการยกระดับพัฒนาเปลี่ยนแปลงบ้านเกิดของตนเทียบเคียงกันไปอย่างมีความหวัง โดยมีข้อสังเกตว่ากลุ่มคนในเพจย้ายประเทศจำนวนมากเป็นกลุ่มคนที่แสดงออกด้วยปัญญามากกว่าอารมณ์ และช่วยเสริมยกระดับความรู้ให้กันและกัน

“แท้จริงแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการหนีย้ายประเทศ ยังรักและภูมิใจในประเทศไทย และอยากให้รัฐบาลเปิดพื้นที่ทางความคิดและเปิดกว้างรับฟังด้วยความเข้าใจ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เราต่างต้องการรวมพลังขับเคลื่อนประเทศไทยขึ้นนำไปข้างหน้าอย่างเร็วแรง การเปิดพื้นที่เสรีรวมพลังทางความคิดถือเป็นการเรียนรู้และทำความเข้าใจในปัญหาต่างๆ ซึ่งได้ประโยชน์ไปพร้อมๆ กัน” ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าว

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวด้วยว่า หากได้รับการเชื่อมโยงข้อมูลและถูกนำไปขับเคลื่อนเชิงนโยบายจากรัฐบาลอย่างจริงใจจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาประเทศอย่างมาก และจะเป็นพลังบวกที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศในทิศทางที่เป็นความหวังและความฝันร่วมกัน กลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดพลังพัฒนาประเทศชาติ และลดทอนวิกฤตศรัทธาต่ออำนาจรัฐเพราะทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในหลักธรรมาภิบาลนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน