แจ้งจับเพิ่มเป็น13คดี คุมตัวส่งเรือนจำทันที

ทนายความยื่นประกัน 2 รอบ แต่ไม่รอด หลานรมต.นอนคุก ศาลอาญาไม่ให้ประกันคดีถูกนักแสดงสาวแจ้งจับมอมขืนใจ เกรงยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ทั้งไม่ยอมให้ตำรวจเช็กโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบข้อความแช็ตกับผู้เสียหาย ด้านผู้เสียหายโล่งใจขึ้นโรงพักแจ้งความเพิ่มอีก 4 คดี รวมทั้งหมดเป็น 13 คดี

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. พนักงานสอบสวนสน.โชคชัย นำตัวนายอภิดิศร์ หรือ เอ็ม อินทุลักษณ์ นักธุรกิจด้านบันเทิง หลานชายอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหลายสมัย ผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเรานักแสดงสาวไปขออำนาจศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน

คำร้องฝากขังบรรยายว่า ระหว่างวันที่ 9-10 ส.ค. ต่อเนื่องกัน ผู้เสียหายนำผลงานเพลงมาเสนอให้ผู้ต้องหาซึ่งอ้างว่าเป็นหลานอดีตรัฐมนตรีพิจารณา ระหว่างนั้นผู้ต้องหาให้ผู้เสียหายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนหมดสติไป กระทั่งเช้าวันที่ 10 ส.ค. ผู้เสียหายพบว่าถูกข่มขืนกระทำชำเราจึงไปพบแพทย์ที่ร.พ.ภูมิพล ตรวจร่างกาย แล้วแจ้งความดำเนินคดีผู้ต้องหาที่สน.โชคชัย ข้อหา ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นไม่อยู่ในภาวะที่ขัดขืนได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 134 เหตุเกิดที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในซอยนาคนิวาส 2 แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ

ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันเนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่า หากปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้ว ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขัง ต่อมาทนายความของนายอภิดิศร์ยื่นคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวระหว่างการฝากขัง พร้อมยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 แสนบาท

วันเดียวกัน นักแสดงสาวผู้เสียหาย พร้อมผู้จัดการ และทนายความยื่นหนังสือเพื่อขอคัดค้านการประกันตัวนายอภิดิศร์ผู้ต้องหา เพราะเกรงว่า จะเข้ามายุ่งเหยิงหรือทำลายพยานหลักฐาน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการ ลบแช็ต หากได้รับการประกันตัวเกรงว่าจะมาทำลายพยานหลักฐานที่เป็นอุปสรรค ต่อการนำผู้ต้องหามาดำเนินคดี

ด้านนักแสดงสาวผู้เสียหาย เผยว่า มีคลิปและหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีการข่มขู่ว่าจะทำให้เสียชื่อเสียง พฤติกรรมเป็นเหมือนตอนที่ให้สัมภาษณ์หน้ากล้อง เหมือนเป็นการข่มขู่ทางอ้อม แสดงออกทางภาษากายโดยไม่เกรงกลัวการกระทำผิด และนายษิทราแสดงหลักฐานที่มีอยู่ออกมาให้เห็นแล้ว กลัวว่าเขาจะสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาอีก อยากจะให้ศาลได้พิจารณา หากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว กังวลเรื่องความปลอดภัยทั้งของตนเองและพยานอีกหลายปากในคดีจะได้รับอันตราย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พนักงานสอบสวน ผู้ร้องคัดค้านการปล่อยชั่วคราว รวมทั้งมีผู้เสียหายคัดค้านด้วย หากปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาแล้วอาจจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบโทรศัพท์ของผู้ต้องหา เพื่อตรวจสอบเท็จจริงในแช็ตไลน์ กรณีมีเหตุอันควรให้เชื่อว่า หากปล่อยชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาอาจไปทำลายหลักฐานและยุ่งเหยิงกับพยาน ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง








Advertisement

ต่อมาทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวนายอภิดิศร์เป็นครั้งที่ 2 หลังผู้ต้องหายินยอมมอบโทรศัพท์มือถือให้ตำรวจตรวจสอบ และเพิ่มหลักทรัพย์คำประกันเป็นเงินสด 4 แสนบาท ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าว โดยพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า ศาลนี้เคยมีคำสั่งว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทั้งไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ต้องหา การที่ ผู้ต้องหายินดีที่จะมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้พนักงานสอบสวนหลังจากศาลมีเหตุไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเเล้ว ก็ไม่เป็นเหตุผลในการยุ่งเหยิงพยานหลักฐานตั้งเเต่ต้นและภายหลังการปล่อยชั่วคราวจะสิ้นสุดไป กรณีไม่มีเหตุปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ยกคำร้อง

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จะนำตัวนาย อภิดิศร์ผู้ต้องหาไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป

ค้านประกัน – ดาราสาวผู้เสียหายไปที่ศาลอาญา รัชดาฯ ยื่นคัดค้านประกันตัวนาย อภิดิศร์ อินทุลักษณ์ หลานอดีตรมต. ผู้ต้องหาคดีข่มขืน เพราะเกรงยุ่งเหยิงทำลายพยานหลักฐาน ล่าสุดศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

ต่อมาเวลา 14.00 น. ทนายความและนักแสดงสาวผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีนายอภิดิศร์ เพิ่มอีก 4 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ทำพยานหลักฐานเท็จเพื่อให้เกิดคดีอาญา, 2.ทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสาร, 3.ปลอมแปลงเอกสาร และ 4.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีหลักฐานการคุยแช็ตถูกลบจากโทรศัพท์ รวมถึงมีการยกเลิกข้อความจากโทรศัพท์ของผู้ต้องหาเอง และยังกล่าวหาผู้เสียหายว่าแบล็กเมล์

นักแสดงสาวผู้เสียหาย กล่าวว่า หลังจาก ผู้ก่อเหตุไม่ได้รับการประกันตัวรู้สึกอุ่นใจขึ้นระดับหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองและพยานปลอดภัยขึ้น แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ เลยมาแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทด้วย ทำให้คนอื่นที่ไม่รู้จักเข้ามาด่าว่าแบล็กเมล์เพราะอยากได้เงิน อยากทำให้คนที่พูดลอยๆ ต้องเจออะไรแบบนี้ เรื่องคดีจะไม่ยอมความแน่นอน ยืนยันว่าไม่เคยกินยานอนหลับเองแล้วมาแจ้งความ เพราะมันทำให้ตัวเองเสียหาย ส่วนตำรวจชุดใหม่ที่ เข้ามาทำคดีรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น แต่ต้องดูให้ละเอียดอีกด้วย

ด้านพี่สาวของผู้เสียหาย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักฐานที่ส่งให้ตำรวจมีความแน่นพอสมควร แต่ผู้ก่อเหตุทำให้น้องเสื่อมเสีย ชื่อเสียง ยืนยันว่าน้องไม่เคยเรียกรับเงินแม้แต่บาทเดียว มีแต่ทางผู้ก่อเหตุติดต่อมาพยายามเสนอเงินให้ ทางน้องตอบไปชัดเจนว่าไม่ต้องการเงิน ส่วนผลการตรวจร่างกาย รอผลตรวจเลือดอย่างเป็นทางการ ว่าจะพบสารยานอนหลับหรือไม่ โดยผู้ต้องหาถูกแจ้งความดำเนินคดีแล้วรวม 13 ข้อหา จากก่อนหน้านี้ถูกแจ้งไป 9 ข้อหา

ประกอบด้วย 1.ปลอมปนอาหารให้ผู้เสียหายดื่ม (ใส่ยานอนหลับในเครื่องดื่ม), 2.ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย, 3.กระทำอนาจารผู้เสียหาย, 4.บทเพิ่มโทษกรณีข่มขืนกระทำชำเรา ตามข้อ 2 และอนาจารตาม ข้อ 3 ที่กระทำกับผู้ซึ่งอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบ (ถูกมอมยาจนสลบหรือหลับ), 5.ทำร้ายร่างกาย (การข่มขืน กับการมอมยา ถือเป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจ), 6.บทเพิ่มโทษกรณีทำร้ายร่างกาย ตามข้อ 5 ที่กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, 7.หน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้เสียเสรีภาพ (การมอมยา ทำให้เสียเสรีภาพ), 8.ข่มเหง รังแก ผู้เสียหาย ในลักษณะการล่วงเกินทางเพศ และ9. พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เข้าถึงและเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน