สธ.ทำข้อเสนอให้ผู้ป่วยลมชักขับรถได้ – นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ศูนย์ความเป็นเลิศโรคลมชัก สถาบันประสาทวิทยา ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคลมชัก และสิทธิของผู้ป่วยโรคลมชักที่ควรจะได้ขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัย จึงจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ได้แก่ กรมขนส่งทางบก กรมควบคุมโรค แพทยสภา มูลนิธิถนนปลอดภัย ชมรมโรคลมชักเพื่อประชาชน เป็นต้น เพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำนโยบายนี้เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายในการควบคุมการขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัยของผู้ป่วยโรคลมชัก โดยเสนอให้ผู้ป่วยโรคลมชักที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดีและสามารถคุมอาการชักโดยไม่ชักอย่างน้อย 1 ปีสามารถขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลได้ และอย่างน้อย 10 ปี ในการขับขี่รถยนต์สาธารณะ

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา เปิดเผยว่า โรคลมชักเป็นภาวะที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่บนท้องถนนหากมีอาการชักขณะกำลังขับขี่ โดยผู้ป่วยโรคลมชักมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 1.8 เท่า สำหรับประเทศไทยมีความชุกโรค ลมชักประมาณ 7.2 ต่อประชากร 1,000 คน (ประมาณ 500,000) คน ประมาณอุบัติการณ์อุบัติเหตุของ ผู้ป่วยโรคลมชักจากการขับขี่รถ 361 คนต่อ 100,000 ประชากรผู้ป่วยโรคลมชัก ผลจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและสถาบันประสาทวิทยา พบว่า 75-90% ของผู้ป่วยโรคลมชักยังคงขับรถอยู่ ประมาณ 30% เคยเกิดอาการชักขณะขับรถและเกิดอุบัติเหตุ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้เกิดอาการชักคือ การขาดหรือลืมกินยากันชัก

อีกปัจจัยสำคัญที่จะลดความเสี่ยงที่จะชักซ้ำคือ ระยะเวลาที่หยุดชัก ระยะเวลาที่หยุดชักยิ่งนานจะยิ่งลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุได้ ความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุลดลงไป 85% ในผู้ป่วยที่หยุดชักนานมากกว่า 6 เดือน และลดลงไปถึง 93% ในผู้ป่วยที่หยุดชักนานมากกว่า 1 ปี สำหรับการดูแลรักษาตนเองให้หยุดชักอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กินยากันชักสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงภาวะที่อาจจะกระตุ้นชัก เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ นอนดึก เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน