ศักดิชัย บำรุงพงศ์ นักเขียนผลงานอมตะ เสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นนามปากกาของ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ นักเขียนลือนามผู้สร้างสรรค์นิยายอมตะอย่าง ปีศาจ, ความรักของวัลยา, คนดีศรีอยุธยา และงานเขียนอื่นๆ อีกหลายเล่มที่ครองใจนักอ่านมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ

ผลงานของเขาปลุกมโนสำนึกนักอ่านให้มองเห็นความ อยุติธรรมในสังคมโดยมิได้สนับสนุนให้เสียเลือดเสียเนื้อ หากแต่กระตุ้นให้ผู้อ่านตื่นตัวขึ้นได้เอง เพื่อยกระดับสังคมไปสู่การแสวงหาเสรีภาพและแสงสว่างทางปัญญา

อังคาร กัลยาณพงศ์ กล่าวถึง ศักดิชัย บำรุงพงศ์ เจ้าของนามปากกาเสนีย์ เสาวพงศ์ ไว้ว่า “เทือกเขาของวรรณกรรมจะมียอดหลายยอด และเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นยอดที่สูงที่สุดยอดหนึ่ง”

สำหรับผลงานวรรณกรรมศักดิชัย บำรุงพงศ์ เกิดขึ้นบนโต๊ะข่าวโดยแท้

สำนักพิมพ์มติชนสรุปประวัติของนักเขียนผลงานอมตะว่า เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2461 มีชื่อเดิมว่า บุญส่ง แต่เปลี่ยนชื่อ ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ต้องการให้ชื่อของประชาชนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นหญิงหรือชาย

จากลูกชาวนาแห่งบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ที่ใส่ใจการศึกษา ได้ย้ายมาเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดจักรวรรดิ และชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดบพิตรภิมุข กรุงเทพมหานคร จากนั้นศึกษาต่อที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เพียงเดือนเศษ บิดาก็ถึงแก่กรรม จนครอบครัวเกิดปัญหาทางการเงินเพราะขาดเสาหลักของบ้าน

ศักดิชัย บำรุงพงศ์ จึงลาออกมาทำงานเป็นผู้แปลข่าวต่างประเทศและเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่ หนังสือพิมพ์ศรีกรุงและ สยามราษฎร์ เขียนคอลัมน์ “ศรีกรุงจาริก” ใช้นามปากกาว่า “โบ้ บางบ่อ” อันมาจากถิ่นเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการภายใต้การกุมบังเหียนของ ครูอบ ไชยวสุ ควบคู่ไปกับการเรียนนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

ช่วงเวลานั้น ขณะที่ทำหน้าที่นักหนังสือพิมพ์อยู่ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ ได้เขียนบทความที่สร้างความกระทบกระเทือนต่อนายทหารผู้มีอำนาจผู้หนึ่งในสมัยนั้น จนเป็นเหตุให้ครูอบ ไชยวสุ ในฐานะบรรณาธิการถูกบีบบังคับให้ลาออก ศักดิชัย บำรุงพงศ์ จึงลาออกตามเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

จากนั้นเขาจึงเบนเข็มชีวิตด้วยการสอบเข้ารับราชการเป็นเสมียนแผนกพาณิชย์นโยบายต่างประเทศ กรมพาณิชย์ กระทรวงเศรษฐการ ทำหน้าที่แปลข่าวเศรษฐกิจและการค้า แต่ทำงานได้เพียงหนึ่งปีก็ต้องลาออกจากราชการ เพราะได้ทุนจากรัฐบาลเยอรมนีให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี

การเดินทางไปเยอรมนีในครั้งนี้กลับมีอุปสรรคจากภาวะสงคราม ศักดิชัย บำรุงพงศ์ จึงต้องเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากที่นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียไปจนถึงสหภาพโซเวียตแล้ว เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย เขาจึงทำงานที่หนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิ ในฐานะผู้แปลข่าวต่างประเทศ และเริ่มเขียนเรื่องสั้นโดยใช้นามปากกา “สุจริต พรหมจรรยา” และใช้นามปากกา “เสนีย์ เสาวพงศ์” เป็นครั้งแรกในการเขียนเรื่องสั้นชื่อ “เดือนตกในทะเลจีน” จนกระทั่ง “ญี่ปุ่นขึ้นฝั่งไทย” หนังสือพิมพ์จึงถูกจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะข่าวในประเทศ

นักหนังสือพิมพ์อย่างศักดิชัย บำรุงพงศ์ ที่อึดอัดกับสภาวะดังกล่าวจึงตัดสินใจเข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2485 จนกระทั่งเกษียณอายุราชการใน พ.ศ.2521 ระหว่างที่อยู่ที่นี่ เขาได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โดยสองตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตราชการคือ เอกอัครราชทูตวิสามัญประจำประเทศสังคมนิยมเอธิโอเปีย และเอกอัครราชทูตวิสามัญประจำสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า

เพราะเริ่มต้นอาชีพจากนักหนังสือพิมพ์และนักเขียน เมื่อรับราชการอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ศักดิชัยยังคงเขียนหนังสือเรื่อยมาตลอดระยะเวลาที่ทำงานที่นี่

“เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่มาจากประสบ การณ์และมาจากจินตนาการบ้าง นักเขียนได้เขียนจากประสบการณ์อย่างเดียว เขียนไปจะหมด ไม่มีอะไรใหม่ จะเป็นศิลปินได้ต้องรู้จักสร้างสรรค์ ใช้จินตนาการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งหลายที่เราได้ประสบและเห็นมา” ศักดิชัยให้สัมภาษณ์ไว้ในชาวกรุง เมื่อ พ.ศ.2523

ประสบการณ์ของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ดูจะเป็น “ต้นทุน” และ “แต้มต่อ” ที่ดีกว่า นักเขียนรุ่นเดียวกัน เพราะการเดินทางไป ต่างแดนในฐานะข้าราชการกระทรวงการ ต่างประเทศ ช่วยส่งเสริม “สายตา” และ “มุมมอง” ทางสังคมให้กับเขามากกว่า นักเขียนร่วมรุ่น

การสัมผัสวัฒนธรรมต่างชาติอย่างกว้างขวางผ่านสายตาแบบปฐมภูมิ ทำให้ผลงานของศักดิชัย บำรุงพงศ์ สามารถเจาะลึกลงไปถึงแก่นความคิดของสังคมต่างแดนได้อย่างถึงรากสิ่งที่ โดดเด่นในงานเขียนของเขาคือการหยิบยกอุดมคติทางสังคมและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพมาเป็นแนวคิดหลักในการสร้างผลงาน

ทว่า ผลงานของเขากลับไม่ได้มีน้ำเสียงในการเรียกร้องอุดมคติดังกล่าวอย่างแข็งกร้าวหรือปลุกระดม หากแสดงออกอย่างเป็นกลาง ผ่านความบันเทิง และกระตุ้นผู้อ่านให้ได้คิดต่อด้วยตนเองถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อผ่านนิยายของตน

อาจเป็นเพราะการเป็นข้าราชการด้วยส่วนหนึ่งที่ทำให้ ผลงานของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ไม่มีท่าทีก้าวร้าว ปลูกฝัง ถ่ายทอดปัญญา และอุดมคติ มากกว่าการปลุกสำนึกความเป็นขบถทางการเมืองแก่ผู้อ่าน

อีกทั้งยังเป็นนักเขียนที่มีผลงานต่อเนื่อง และสร้างสรรค์ ผลงานคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษ จึงทำให้ผลงานและตัวตนของเขาเป็นเหมือนเสาหลักที่เหล่าปัญญาชนและนักคิดนักเขียนรุ่นใหม่ใส่ใจศึกษาอย่างจริงจัง หากจะพูดถึงหมุดหมายแห่งวรรณกรรมที่ว่าด้วยเสรีภาพในทศวรรษ 2510

ผลงานของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ไม่เคยเชย และไม่มีวันตาย ด้วยเพราะว่าสิ่งที่เขาบอกแก่เรานั้นคือสัจธรรม คือความเป็นไปของโลกที่ไม่มีใครฉุดรั้งได้

ในวาระครบรอบวันเสียชีวิตของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ที่เวียนมาบรรจบครบรอบวันที่ 29 พฤศจิกายน การอ่านผลงานของนักเขียนท่านนี้อย่างทำความเข้าใจถึงข้อความและตัวตนที่เขาต้องการจะสื่อสารแก่ผู้อ่าน นับได้ว่าเป็นการร่วมรำลึกถึงเขาในทางหนึ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน