ความขัดแย้งเรื่องที่ดินมรดก สร้างความแตกแยกให้คนในครอบครัวมานับไม่ถ้วน ถึงขั้นทะเลาะฆ่ากันตายก็เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ

เช่นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 19 ก.ค. ภายหลัง พ.ต.อ.ชลิต มรกตศรีวรรณ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ไชย พ.ต.ท.ศรีวิลัย ใจมั่น รอง ผกก.สอบสวน สภ.โคกโพธิ์ไชย นำกำลังชุดสืบสวน สายตรวจ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน แพทย์และหน่วยกู้ชีพกู้ภัย เข้าตรวจสอบเหตุชายถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บกลางทุ่งนา ต.ซับสมบูรณ์ อ.โคกโพธิ์ไชย จ.ขอนแก่น

ที่เกิดเหตุพบศพ นายคำจู ขวัญวงศ์ อายุ 59 ปี มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ใบหน้า ในกระเป๋ากางเกงมีเงินสด 5 พันบาท สลากกินแบ่งรัฐบาล และใบขับขี่ ข้างศพพบปืนลูกซองสั้นตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนผู้บาดเจ็บคือ นายทองด้วง ชัยภิรมย์ อายุ 71 ปี ชาวบ้าน ม.3 ซับสมบูรณ์ อ.โคกโพธิ์ไชย จ.ขอนแก่น ญาตินำตัวส่งร.พ.โคกโพธิ์ไชยไปก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่จึงตามไปอายัดตัวพร้อม ของกลางอาวุธปืนขนาด .38 และลูกซองสั้น

สภาพศพนายคำจู ขวัญวงศ์

 

ตำรวจสอบญาติคนเจ็บและคนตายได้ความว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุยิงกันนายทองด้วงขับรถแบ๊กโฮมาปรับที่ดินในที่นาซึ่งอยู่ติดกับนาของนายคำจู ทำให้นายคำจูเห็นก็ไม่พอใจ ทะเลาะกันอย่างหนัก แต่ก็เงียบไป จนกระทั่งช่วงเย็นก็ทะเลาะกันหนักอีก พี่ชายนายคำจูเห็นปืนในตัวน้องชายจึงห้ามปรามว่าอย่าทำร้ายกัน นายคำจูก็เดินห่างจากญาติพี่น้องไป ไม่นานก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ซึ่งเป็นเสียงปืนของนายคำจูที่ยิง นายทองด้วงขณะขับรถแบ๊กโฮอยู่ กระสุนถูกที่ขาซ้ายของนายทองด้วง จากนั้นนายทองด้วงก็ยิงตอบโต้ไป 2 นัด กระสุนเข้าที่ใบหน้าของนายคำจูล้มลงเสียชีวิตบนทางเดินดังกล่าว ญาติพี่น้องได้พานายทองด้วง ส่งร.พ.โคกโพธิ์ไชย ทั้งที่มีปืนเหน็บอยู่ที่เอว 2 กระบอก

ขณะที่นายวิญญู (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี พี่ชายของผู้ตายและคนอยู่ในเหตุการณ์เล่าความจริงอีกด้านว่า ชนวนเหตุครั้งนี้มาจากปมที่ดินมรดก โดยจุดเกิดเหตุยิงกันตายนั้นเป็นที่ดินมรดกประมาณ 30 ไร่ ที่มารดาตนยกให้ลูกๆ ทำกิน แต่นายทองด้วงซึ่งเป็นหลานอยากได้เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองจึงไปยื่นฟ้องศาล เนื่องจากบิดานายทองด้วงเป็นพี่ชายมารดาของตนและนายคำจู

นายวิญญูเล่าต่อว่า นายทองด้วงถือสิทธิ์ว่าตัวเองเป็นหลานของปู่-ย่า ผู้เป็นพ่อแม่ของบิดาตัวเองก็ควรจะได้ที่ดินแปลงดังกล่าวด้วย จึงมีปัญหากันมาตลอด ลูกหลานไม่มีใครสามารถเข้าไปทำกินในที่ดินดังกล่าวได้ และขณะนี้เรื่องฟ้องร้องก็อยู่ในชั้นศาล

รถแบ๊กโฮปรับที่ดินพิพาท

 

“ก่อนเกิดเหตุผมและน้องชายกำลังปรับพื้นดินที่บ้านเพื่อจะเทพื้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากนางคูซึ่งเป็นน้องสาวของผมและเป็นพี่สาวคนตาย แจ้งว่านายทองด้วงพร้อมลูกชายขับรถรถแบ๊กโฮไปไถบุกเบิกในที่ดิน ขอให้ออกไปดูด้วย จึงพากันขี่รถจักรยานยนต์ออกไปในที่นา ก็พบว่านายทองด้วงกำลังขับรถแบ๊กโฮไถเบิกในที่ดินอยู่ ส่วนลูกชายอีก 3 คนยืนดูอยู่รอบบริเวณดังกล่าว ซึ่งผมกับนายคำจูจึงเข้าไปห้ามปรามให้หยุดไถ เพราะมีเรื่องข้อพิพาทกันอยู่ในศาล แต่นายทองด้วงไม่ฟัง ทั้งยังเอาปืนมายิงใส่ผมกับนายคำจู 2 นัด แต่กระสุนไม่ถูกใคร และนายคำจูก็ยิงสวนไป 1 นัด กระสุนถูกที่กระจกรถแบ๊กโฮ” นายวิญญูกล่าว

นายวิญญูเล่าอีกว่า จากนั้นนายทองด้วงตะโกนบอกลูกชายชื่อ นายเอให้ไปเอาปืนลูกซองในรถ แล้วสั่งลูกชายให้ยิงตนกับ นายคำจู ลูกชายก็ทำตาม โดยวิ่งไปเอาปืนในรถกระบะที่จอดอยู่ริมถนนแล้วก็มาไล่ยิงตนกับน้องชาย ตนจึงบอกน้องชายว่าแยกย้ายกันวิ่งหนี จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังตามขึ้นมาอีก 2 นัด เมื่อหันไปดูเห็นน้องชายล้มลงอยู่กลางทางเดินในทุ่งนาจึงรีบวิ่งกลับมาหาน้องชาย ปรากฏว่าน้องสิ้นใจแล้ว จึงรีบโทรศัพท์แจ้งญาติพี่น้องให้ทราบเรื่อง

ที่ดินพิพาท

 

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตำรวจจึงจับนายทองด้วงคนเดียว ทั้งที่คนที่ยิงนายคำจูตายคือลูกชายของนายทองด้วง และเมื่อนายทองด้วงและลูกชายยิงน้องชายตายไปแล้ว เรื่องที่ดินในศาลก็ยังไม่จบ เพราะศาลต้องว่ากันตามหลักฐานของที่ดิน และอยากให้ตำรวจแจ้งข้อหาหนักกับนายทองด้วงและลูกชายให้ติดคุก เพราะเชื่อว่าถ้าไม่แยกย้ายกันหนีและฝนไม่ตก ผมน่าจะถูกฆ่าไปด้วยเช่นกัน” นายวิญญูกล่าวอย่างมั่นใจ

ญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศล

 

เมื่อความจริงยังไม่ตกผลึก พ.ต.อ.ชลิตสั่งให้สอบสวนอย่างละเอียดว่าก่อนเกิดเหตุมีใครอยู่ในบริเวณดังกล่าวบ้าง และแต่ละคนเกี่ยวข้องหรือเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร พร้อมยืนยันว่าถ้าพบว่า มีคนร่วมทำผิดก็จะเรียกมาสอบสวนและจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย

แม้จะเลือกใช้ช่องทางของกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาท แต่ด้วยความใจร้อนสุดท้ายฝ่ายหนึ่งตาย ฝ่ายผู้กระทำก็ต้องไปชดใช้ความผิดตามกฎหมาย

 

จักรพันธุ์ นาทันริ, เอกพงษ์ พุทธา

เรื่อง/ภาพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน