วันอังคารที่ 31 ม.ค.2566 น้อมรำลึกครบ 117 ปี ชาตกาล “หลวงพ่อลี ธัมมธโร” หรือ “ท่านพ่อลี”วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เป็นศิษย์สายวิปัสสนากัมมัฏฐานอันดับต้นของ “พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” บูรพาจารย์สายพระป่า

ริเริ่มและสร้างวัดอโศการาม จนเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมาจวบถึงปัจจุบัน เป็นที่เคารพศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหาและ ชาวบ้าน แม้แต่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์

วัตถุมงคลมีมากมาย ทั้งที่สร้างเองและหลังจากมรณภาพแล้ว ล้วนแต่ได้รับความนิยมสูง

ชาติภูมิ หลวงพ่อลี เป็นชาวบ้านหนองสองห้อง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี เกิดเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2449

เมื่อตอนวัยเด็กค่อนข้างจะเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก งอแง และขี้โรค อายุ 12 ปี ท่านจึงเริ่มเรียนหนังสือไทย แต่มีสิ่งหนึ่งในความคิดอยู่ตลอด คือ ความคิดอ่านเรื่องบาปบุญและปรารถนาอย่างยิ่งที่จะบวชเป็นพระภิกษุในภายภาคหน้า

จนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ อุปสมบทในปี พ.ศ.2468 สังกัดมหานิกาย

ต่อมามีโอกาสพบและฟังเทศน์จาก “พระอาจารย์บท” ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ทั้งเห็นถึงปฏิปทาและการปฏิบัติสังฆกิจต่างๆ จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ตัดสินใจออกธุดงค์ติดตาม เพื่อไปพบพระอาจารย์มั่น ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดบูรพา จ.อุบลราชธานี

ได้รับการแนะนำสั่งสอนจากพระอาจารย์มั่นเพียงสั้นๆ ว่า “คำว่า พุทโธ นี้ คือความพิเศษ เป็นดวงแก้วแห่งธรรม” อันเป็นอุบายเบื้องต้นในการปฏิบัติกรรมฐาน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจากพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ที่บ้านท่าวังหิน อันเป็นสถานที่เงียบสงบเหมาะแก่การเจริญกัมมัฏฐาน








Advertisement

พากเพียรปฏิบัติธรรมและวิปัสสนา กัมมัฏฐาน จนปี พ.ศ.2471 ท่านจึงได้แปรญัตติจากมหานิกายเป็น “ธรรมยุติกนิกาย” โดย พระอาจารย์มั่นเป็นผู้บรรพชาให้เป็นสามเณร และพระปัญญาพิศาลเถร (หนู) แห่งวัดสระปทุม เป็นพระอุปัชฌาย์

จากนั้นออกธุดงค์กับพระอาจารย์มั่นเรื่อยมา จนพระอาจารย์ให้ท่านออกธุดงค์โดยลำพัง ท่านจึงออกธุดงค์กรรมฐานไปยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงกัมพูชา พม่า และอินเดีย จนในที่สุดมา จำพรรษาที่สำนักสงฆ์แม่ชีขาว จ.สมุทรปราการ

ณ สถานที่นี้เอง หลวงพ่อลีเริ่มก่อตั้งสำนักสงฆ์ที่เน้นวัตรปฏิบัติธรรม อาจสืบเนื่องจากท่านได้นิมิตว่าเป็นบริเวณที่บรรจุพระบรมธาตุ

การให้ชื่อวัดว่า “วัดอโศการาม” ประสงค์จะให้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงคุณ พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ของอินเดียที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนามายังแถบเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ได้ก่อสร้างรูปเหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช และสร้างเสนาสนะต่างๆ จนพัฒนาเป็น “วัดอโศการาม” ที่รุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้

นับเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ เป็นพระเกจิสายกรรมฐานที่เคร่งครัด เข้มขลัง และทรงอภิญญา เป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วหล้า

สมณศักดิ์สุดท้าย ในปี พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสุทธิธรรมรังสี

คืนวันอังคารที่ 25 เม.ย.2504 นั่งสนทนาธรรมอยู่กับลูกศิษย์ ให้จดบันทึกเรื่องอริยสัจจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. จึงเข้าไปพักโดยมีอาการปกติทุกอย่าง บทความที่ให้บันทึกแก้ไขเพิ่มเติมในหนังสือสังฆกิจและมูลกรรมฐานเป็นบันทึกธรรมครั้งสุดท้ายที่ เมตตาฝากไว้

ครั้นรุ่งเช้าวันพุธที่ 26 เม.ย.2504 คณะศิษย์รอถวายจังหันตามปกติ รออยู่จนสาย จึงได้ไปที่กุฏิ เห็นว่าเงียบผิดปกติ จึงเปิดหน้าต่างแล้วเข้าไปดู ปรากฏว่าท่านมรณภาพอย่างสงบ สิริอายุ 55 ปี 3 เดือน พรรษา 35 สร้างความอาลัยแก่คณะศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้ วัดอโศการามยังคงได้รับการพัฒนาสืบต่อมาโดยลำดับ ขยายพื้นที่ พร้อมสร้างพระธุตังคเจดีย์ ที่ได้วางแบบเอาไว้จนสำเร็จลุล่วง เป็นปูชนียสถานประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และใช้เป็นสถาน ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานภาวนา โดยเฉพาะ “หลักอานาปานสติกัมมัฏฐาน” ที่ท่านวางรากฐานไว้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน