เจอขวากหนามดงใหญ่มาตั้งแต่ขึ้นแท่นเป็นว่าที่นายกฯ คนที่ 30 สำหรับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.)
บรรดานักร้องแห่ร้องเรียนสารพัดเรื่อง เริ่มจาก การถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ข้อหาเข้าข่ายรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ได้สมัครรับเลือกตั้ง อันเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 42(3) และมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
คดีนี้ กกต.เตรียมเรียกนายพิธาเข้าชี้แจง รับฟังข้อเท็จจริง
ต่อมามีการร้อง กกต.ให้ตรวจสอบการถือครองที่ดิน 14 ไร่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของนายพิธา นำไปเทียบเคียงให้เห็นช่วงเวลากระบวนการจัดการมรดกเรื่องหุ้นไอทีวีกับที่ดินมีความ เชื่อมโยงสอดคล้องกัน เพื่อจะชี้ว่านายพิธาถือครองหุ้นไอทีวีในฐานะผู้รับมรดก ไม่ใช่ผู้จัดการมรดก
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยังจี้ให้ นายพิธาเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดการขายที่ดินให้สาธารณชนทราบ เพราะสงสัยว่าทำไมที่ดินแปลงนี้ขายเพียง 6.5 ล้านบาทเมื่อ 27 มี.ค.2566 ต่ำกว่าราคาที่เคยแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 25 พ.ค.2562 ในราคา 18 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการปลุกกระแสว่าพรรคก้าวไกลสนับสนุนขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ จัดทำประชามติให้เอกราชปาตานี ที่เข้าข่ายมีความผิดในคดีความมั่นคง
ด่านโหวตนายกฯ ก็แข็งยิ่งกว่าหิน ตอนนี้ขั้วพรรคก้าวไกลมี ส.ส.ในมือ 312 เสียง ยังขาดอีก 64 เสียง ที่ต้องพึ่งเสียงจาก ส.ว. แต่ ส.ว.หลายคนประกาศ ‘ปิดสวิตช์ตัวเอง’ หลายคนชูจุดยืนไม่โหวตให้นายพิธา ที่มีคดีหุ้นสื่อเป็นชนักติดหลัง
ล่าสุด นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ยืนยัน ส.ว.จะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 82 เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 หรือ 25 คน จาก ส.ว.250 คน ส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของนายพิธาที่ถือหุ้นสื่อ
อีกเหตุผลหลักที่ ส.ว.ส่วนใหญ่จะไม่โหวตให้เพราะพรรคก้าวไกลยังจะเดินหน้าแก้มาตรา 112
ที่ผ่านมามีผู้ร้อง กกต.ให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล ที่มาจากการกระทำของสมาชิกและกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งอ้างการให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ที่ปราศรัยหาเสียงด้วยการจะเสนอแก้มาตรา 112
แม้ต่อมา กกต.ตีตกคำร้องดังกล่าวว่าไม่เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์การปกครอง แต่ยังมีผู้ร้องให้ตรวจสอบอีก
นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพุทธะอิสระ ยื่นร้อง ต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 สั่งให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล เลิกทำนโยบายการแก้ไขมาตรา 112
ครบ 15 วันแล้วอัยการยังไม่ได้สั่งการใด เป็นสิทธิที่จะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ นายธีรยุทธจึงยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
26 มิ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้สอบถามอัยการสูงสุดว่ามีคำสั่งรับหรือไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ ดำเนินการแล้วอย่างไร และผลการดำเนินการเป็นอย่างไร โดยให้แจ้งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาจะไม่ส่งผลต่อการโหวตเลือกนายกฯ เพราะเป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล ไม่ใช่ตัวบุคคล และไม่มีเรื่องการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดจริง จะถือเป็นสารตั้งต้นให้คนมาร้องคดีอาญาหรือคดียุบพรรค
ขณะที่นายพิธามั่นใจว่าเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญให้สอบถามอัยการสูงสุดว่ามีคำสั่งรับหรือไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจ เพราะเป็นเรื่องระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและอัยการสูงสุด
การแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งที่เราได้พูดชัดเจนตกผลึกว่า น่าจะเป็นทางออกให้กับสังคมไทย ในช่วงที่ผ่านมามาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการรังแกคนเห็นต่าง รวมทั้งเยาวชน ซึ่ง ไม่ได้เป็นผลดีกับสถาบันใดเลย
จึงอย่านำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการโหวตนายกฯ อีกเลย
“ดูเหมือนว่ามีกับดักทางการเมืองเยอะเหลือเกิน แต่พิธาคนนี้กำลังใจเกินร้อย” นายพิธากล่าวทิ้งท้าย