หลังจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ส่ง ‘ไม้’ ต่อให้พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า ที่สุดแล้วรัฐบาลเพื่อไทยจะคงอยู่ภายใต้ 8 พรรคร่วม หรือมีอันต้องแตกสลาย โดยมีพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วมเสริมทัพ

แต่วันที่ 4 ส.ค. น่าจะพอเห็นเค้าลาง ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เรียกประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกฯ

มีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ เพื่อเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องที่เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อกลบกระแสแรงต้านทางการเมืองในอดีต

รวมถึง ‘จิ๊กซอว์’ ตัวสุดท้าย ต่อกรณีการประกาศกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 10 ส.ค.นี้

แน่นอนว่าภาคเอกชน นักธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มทุน มีเสียงตอบรับ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มต่างๆ ดีดตัวขึ้นทั้งหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหุ้นกลุ่มการเมืองทั้งแสนสิริ เอสซี แอสเสท และแอดวานซ์

ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มท่องเที่ยว ได้รับผลดีตามไปด้วย

แต่มีบางส่วนมองนโยบายของพรรคเพื่อไทย ว่าอาจจะส่งผลให้มีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งและค้าปลีกไทย เห็นว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล อยากให้ช่วยทำให้ระบบ การค้าที่อยู่ในมือนายทุนไม่กี่คน กระจายให้กับทุนเล็กเช่นเดียวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล เพื่อให้ทุนเล็กสามารถแข่งขันได้ และไม่อยากเห็นคนไทยเป็นคนจนไปตลอดด้วยนโยบายการแจกเงิน โดยเฉพาะนโยบายใส่เงินดิจิทัลของเพื่อไทย 10,000 บาทนั้น ก็ไม่เห็นด้วย อยากให้คิดวิธีการใหม่ ให้คนรู้จักประกอบอาชีพเองภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เช่น ลดหย่อนภาษี ช่วยให้คนตัวเล็กทำงานได้คล่องตัว

หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลจริง จะได้รู้ว่าทีมเศรษฐกิจจะมุ่งหน้าเน้นเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน เพราะขณะนี้ระบบต่างๆ ในแผนงานมีครบแล้ว เพียงรอรัฐบาลใหม่เข้ามาให้เร็วที่สุดและไม่อยากให้ล่าช้าออกไปอีกเพราะจะส่งผลกระทบตามมาอีกเยอะ

ขณะที่ นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ในแง่ของเศรษฐกิจน่าจะได้รับการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ออกมา รวมถึงการผลักดันการลงทุนอินฟราสตรักเจอร์ออกมาได้อีกมาก เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเหมือนที่เคยผลักดันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน

มองว่าหากนายเศรษฐาเป็นนายกฯ ถือว่าเหมาะสมเพราะเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเคยมีประสบการณ์และ ผลงานในการบริหารประเทศ มีทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว แต่ภาพรวม เป็นที่ยอมรับของภาคเอกชนภาคธุรกิจ เสียงตอบรับมากน้อยแค่ไหนอย่างไรขึ้นอยู่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะมาทำหน้าที่

ส่วนนโยบาย มีเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพ มี เป้าหมายอัตราการขยายทางเศรษฐกิจชัดเจน มีนโยบายกระจายเขตเศรษฐกิจพิเศษไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศมากขึ้น มีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มการลงทุน

ขณะเดียวกัน มีนโยบายเกี่ยวข้องกับสวัสดิการ รวมทั้งการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทในปี 2570 ต้องให้บริหารประเทศไประยะหนึ่งก่อนถึงจะพิจารณาได้ว่าประสบความสำเร็จและบรรลุ เป้าหมายตามนโยบายที่ประกาศไว้หรือไม่

พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้าง เพื่อลดอำนาจผูกขาดน้อยกว่าพรรคก้าวไกล โดยเน้นที่การทำอย่างไรให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้น ฉะนั้นภาคธุรกิจจะตอบสนองในทางบวกกว่า นักลงทุนและตลาดการเงินก็ตอบสนองในทางบวกมากกว่า

รัฐบาลใหม่ที่จะมาถึงจะเน้นการทำงานกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ มีมาตรการประชานิยมและสวัสดิการต่างๆ จะทำให้ประชาชนพอใจ

ส่วนรัฐบาลผสมหลายพรรคไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หากพรรคเพื่อไทยยังคงยึดกุมกระทรวงสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจ และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน

ขณะที่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอดีตไม่ได้เป็น หลักประกันว่าจะสำเร็จในปัจจุบันและอนาคต เพราะปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ต้องรอดู เพียงแต่ผลงานในอดีตทำให้เราเบาใจ มั่นใจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น

ผมเห็นว่าหากมีพรรคก้าวไกล ร่วมรัฐบาลด้วยจะเป็นเรื่องที่ดีมาก และเป็นไปตามเจตนารมณ์และความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่

การหลอมรวมกันด้านนโยบายสาธารณะโดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ จะทำให้การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการบรรลุ เป้าหมายทางเศรษฐกิจครบถ้วนทุกมิติมากขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน