รอยเตอร์และบีบีซีรายงานวันที่ 26 ก.ย. ว่า ชนชาติพันธุ์อาร์เมเนียอย่างน้อย 13,550 คนจากราว 120,000 คนในภูมิภาคนากอร์โน- คาราบัค มาถึงประเทศอาร์เมเนียในช่วงวันแรกของการอพยพครั้งใหญ่ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลังจากอาเซอร์ไบจานส่งทหารยึดครองดินแดนสำเร็จ กองกำลังแบ่งแยกดินแดนจึงต้องยอมวางอาวุธตามข้อตกลงหยุดยิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

น.ส.ซาแมนธา พาวเวอร์ หัวหน้าหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเอสเอด) เรียกร้องให้อาเซอร์ไบจานรักษาไว้ซึ่งข้อตกลงหยุดยิงและดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อคุ้มครองสิทธิพลเรือนในภูมิภาค น.ส.พาวเวอร์ซึ่งก่อนหน้านี้ยื่นหนังสือสนับสนุนจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ให้นายกรัฐมนตรีนีคอล พาชีเนียน ผู้นำอาร์เมเนีย กล่าวด้วยว่าการใช้กำลังของอาเซอร์ไบจานเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ สหรัฐกำลังหาทางตอบโต้ที่เหมาะสม และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอิลฮัม แอลีเยฟ แห่งอาเซอร์ ไบจาน ทำตามสัญญาที่จะคุ้มครองสิทธิชาติพันธุ์อาร์เมเนีย โดยการเปิดฉนวนลาชินซึ่งเชื่อมนากอร์โน-คาราบัคและอาร์เมเนีย รวมถึงอนุญาตให้ส่งความช่วยเหลือและคณะผู้แทนนานาชาติเข้าพื้นที่ ด้านนายอนาโตเลีย แอนโตนอฟ ทูตรัสเซียประจำสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐควรหยุดเติมเชื้อเพลิงความรู้สึกต่อต้านรัสเซียในอาร์เมเนีย ส่วนผู้แทนจากอาร์เมเนียและ อาเซอร์ไบจานหารือที่กรุงบรัสเซลส์ ของเบลเยียม ตามการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (อียู) เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่การยึดครองภูมิภาค

วันเดียวกัน รัฐบาลฝ่ายแบ่งแยกดินแดนในภูมิภาคนากอร์โน- คาราบัคระบุว่า เหตุคลังเชื้อเพลิงระเบิดในเมืองสเตพานาแกร์ต ฐานที่มั่นของฝ่ายแบ่งแยก เมื่อ 25 ก.ย. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และอีก 290 คนรักษาอาการที่โรงพยาบาล โดยทางการอาร์เมเนียส่งทีมแพทย์และอาเซอร์ไบจานส่งยาช่วยเหลือ ทั้งนี้ อาร์เมเนียแสวงหาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับชาติตะวันตกและกล่าวโทษรัสเซียซึ่งมีกองกำลังรักษาสันติภาพในพื้นที่ว่าล้มเหลวในการคุ้มครอง และกล่าวโทษรัสเซียซึ่งมีกองกำลังรักษาสันติภาพในพื้นที่ว่าล้มเหลวในการคุ้มครอง ด้านรัสเซียปฏิเสธและว่า นายพาชีเนียนกำลังทำผิดครั้งใหญ่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน