คล้ายกับว่า สภาพพลิกผันแปรเปลี่ยนจากการนับคะแนนใหม่เขต 1 นครปฐม จะส่งผลเพียงทำให้ น.ส.สาวิกา ลิมปะสุวัณณะ กำชัยเหนือ พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร
เป็นจุดเล็กๆจากเพียงเขตเดียว เป็นผลในทางปัจเจกระหว่างผู้สมัคร 2 คนจากพรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์
กระนั้น หากติดตามการเคลื่อนไหวนับแต่ กกต.ประกาศจะนับคะแนนใหม่ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ล้วนให้ความสนใจ
เราเห็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปรากฏตัว เราเห็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ปรากฏตัว
นี่ล้วนเป็นบุคคลระดับ “หัวหน้าพรรค”
ปมอันเป็นปัญหาอันนำไปสู่การนับคะแนนใหม่มาจากความแตกต่างในเรื่องคะแนนที่กกต.ประกาศว่า พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ชนะไปในเบื้องต้น 146 คะแนนนั้นเกิดข้อสงสัย
เพราะจากการนับของพรรคอนาคตใหม่เป็น น.ส.สาวิกา ลิมปะสุวรรณะ ชนะ 4 คะแนน
แต่เมื่อมีการนับคะแนนใหม่ในวันที่ 28 เมษายน ปรากฏในที่สุดว่า น.ส.สาวิกา ลิมปะสุวรรณะ ชนะ พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ไป 64 คะแนน
ปรากฏการณ์ที่เขต 1 นครปฐม ทำให้แสงแห่งสปอตไลต์ฉายจับไปยัง กกต.อีกครั้งหนึ่ง
เป็นคำถามในเรื่องความน่าเชื่อถือในการนับคะแนน
ตรงนี้จะทำให้ข้อเรียกร้องในเรื่องคะแนนพื้นฐานที่ได้มาเมื่อตอนค่ำของวันที่ 24 มีนาคม ในแต่ละหน่วย แต่ละเขตเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร
เหตุใดกกต.จึงไม่ยอมเปิดเผยทั้งๆ ที่คะแนนถือได้ว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เป็นข้อมูลพื้นฐาน
การไม่ยอมเปิดเผยจึงนำไปสู่ความแคลงคลาง กังขา
คำถามอันตามมาอีกประการหนึ่งก็คือ ในเมื่อประสิทธิภาพในการทำงานของ กกต.เป็นเช่นนี้ ในเมื่อยังมีความไม่แจ่มชัดในเรื่องสูตรการคำนวณหาส.ส.บัญชีรายชื่อยังไม่เกิดขึ้น
เป้าหมายที่จะมีการประกาศรับรองผลร้อยละ 95 ของส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อจะเป็นไปได้หรือไม่
วันที่ 9 พฤษภาคมจึงระทึกใจอย่างสูงสำหรับ “กกต.”