FootNote:กระแส ส่วย “ตำรวจ” ร้อนแรง หนุนเสริม ก่อให้เกิด “ปฏิรูป”
จุดที่มีความอ่อนเปราะมากเพียงใด โอกาสที่จะถูกปฏิรูปเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจะมีมากเพียงนั้น
ทุกสายตาจึงทอดจับไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพียงการปรากฏขึ้นของการสะสางในเรื่องของ 140 ล้านบาท อันเนื่องจากความอื้อฉาวในการเรียกเงินจากธุรกิจ “พนันออนไลน์” ก็มากด้วยความอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมิได้สะท้อนให้เห็นปัญหา อันดำรงอยู่จากข้อกล่าวหา ต่ออดีตผู้บังคับการตำรวจชลบุรีคนล่าสุด หากแต่โยงยาวไปยังปัญหาที่อดีตผู้บังคับการตำรวจชลบุรีคนก่อนหน้าต้องประสบ
ยิ่งมีการเคลื่อนไหวร้องทุกข์และกล่าวหามากเพียงใด ยิ่งทำให้ปัญหาอันเกิดขึ้น และดำรงอยู่มากด้วยความสลับซับซ้อน และซ่อนปมแห่งผลประโยชน์มากเพียงนั้น
อย่าได้แปลกใจหากกระบวนการเหล่านี้ จะย้อนไปถึงตั้งแต่ความอื้อฉาวของบ่อนการพนันในยุคโควิด ผ่านกระบวนการต่อสู้ในห้วงแห่งการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2566
สัมพันธ์ไม่เพียงยุค คสช.ครองอำนาจ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นผลงานบังคับ ให้รัฐบาลใหม่ชอบธรรมที่จะปฏิรูป
โดยมี “ตำรวจ” เป็นจุดเริ่มต้นอันมากด้วย “พลานุภาพ”
คำถามก็คือ ทำไมสถานการณ์ “ส่วย” จึงผุดขึ้นและอื้อฉาวครึกโครม แทบไม่ต่างอะไรไปจากโรคระบาด เริ่มจาก “ส่วยทางหลวง” และมาอึกทึกอยู่ที่ “ส่วยพนันออนไลน์”
หากสืบสาวอย่างจริงจังก็จะรับรู้ว่าทั้งหมดล้วนมี “ธุรกิจสีเทา” อันสัมพันธ์กับ “มาเฟียจีน” อย่างพันลึกพิสดาร
เป็นความพิสดารของ “ตำรวจ” ในยุคที่อำนาจอยู่ในมือคสช.
ความหมายก็คือ อำนาจในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเข้ากับอำนาจในมือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และในมือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ที่เคยประกาศด้วยความมั่นใจว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ในห้วงก่อนการเลือกตั้งนั้น ที่เด่นชัดอย่างที่สุดก็ปะทุออกมาผ่านระบบ “ส่วย” อันแนบแน่นอยู่กับ “ธุรกิจสีดำ”
กรณีเงิน 140 ล้านบาท จึงกลายเป็น “ใบเสร็จ” ชัดเจน
ไม่ว่าจะมองผ่านสายตาของพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะมองผ่านสายตาของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมองผ่านความจัดเจนของพรรคเสรีรวมไทย ดำเนินไปอย่างเปิดเอกภาพ
เป็นเอกภาพที่ต้องการ “ปฏิรูป” ชำระล้าง “ตำรวจ”
ปัญหาอื้อฉาวต่างๆที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จึงดำรงอยู่ในลักษณะ อันเท่ากับเป็นการใส่พานให้กับความปรารถนาของรัฐบาลใหม่
และสอดรับกับความปรารถนาโดยพื้นฐานของ “ประชาชน” ที่ อยากเห็น “การเปลี่ยนแปลง”
