ตอนหนึ่งกล่าวถึงประเด็นความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ที่ทั้ง 2 ประเทศได้พูดคุยอย่างจริงจัง
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ชื่นชมไทยที่จัดการเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเด็ดขาด และจะตั้งทีมทำงาน 2 ทีมเพื่อช่วยกันในเรื่องนี้ โดยจีนประสงค์จะช่วยมากกว่านี้ แต่ได้ขอแค่การตั้ง 2 ทีมที่จะสามารถ สั่งการได้อย่างรวดเร็ว
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศช่วยกำกับดูแลการพูดคุยของทั้ง 2 ทีม ให้พูดคุยแล้วสามารถหาข้อสรุปได้ทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์
อีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยและประเทศไทยได้รับจากการที่นายกฯ แพทองธาร ไปเยือนจีน นอกจากเรื่องการค้าและความสัมพันธ์ คือ เรื่องความมั่นคง โดยเฉพาะความร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
ความร่วมมือนี้มีมาพักใหญ่แล้ว จากบทบาท นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน ที่เดินทางมาประสานงานใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงฝ่ายความมั่นคงของไทย
“เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เราทำงานร่วมกันมา 2 เดือนแล้วระหว่างไทย เมียนมา และจีน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ระบุ
ไม่เพียงเสียงชื่นชมจากประธานาธิบดีจีน คนไทยส่วนใหญ่ก็ชื่นชมมาตรการของรัฐบาล ในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานในเมียนมาเช่นกัน
หลังรัฐบาลไทยดำเนินมาตรการ 3 ตัด ตัดไฟ ตัดน้ำมัน ตัดอินเตอร์เน็ต เมืองสแกมเมอร์ฝั่งชายแดนเมียนมา แม้ผลกระทบส่วนหนึ่งจะตกอยู่กับชาวเมียนมาที่พึ่งพาพลังงานจากไทย
แต่รัฐบาลไทยต้องใจแข็งในเรื่องนี้ เพื่อสร้างแรงกดดันให้ผู้นำรัฐบาลเมียนมา หรือผู้นำกองกำลังชน กลุ่มน้อยฝ่ายตรงข้าม ให้ความร่วมมือกดดันกวาดล้างแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ต้นตอปัญหาทั้งหมด
ถ้าการกดดันเป็นผล ไทยอาจพิจารณาผ่อนคลายบางมาตรการ ขึ้นอยู่กับผลงานของฝั่งเมียนมา ซึ่งจะมีการประเมินในระยะเวลาที่เหมาะสม
เพราะปลายทางมาตรการ 3 ตัดของไทย ไม่ใช่การทะเลาะกับเพื่อนบ้าน แต่คือการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภัยร้ายคุกคามทั้ง ต่อไทย จีน เมียนมา อาเซียนและประชาคมโลก ซึ่งไทยจะต้องเดินหน้าต่อไปชนิดถอนรากถอนโคนให้ได้