ฎีกายืนยกฟ้อง “พลเมืองโต้กลับ” ฟ้อง “บิ๊กตู่-คสช.” ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 57 ชี้ต้องตีความกฎหมายให้บังคับใช้ได้รักษารัฐ – รัฐธรรมนูญปี2557 คุ้มครองอยู่

เมื่อเวลา 09.30น. วันที่ 22มิถุนายน ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.1805/2558 ที่นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ, นายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว เสรีธิวัฒน์, นายอานนท์ นําภา อาชีพทนายความ กับพวกซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง กลุ่มพลเมืองโต้กลับและ

ฎีกายืนยกฟ้อง “พลเมืองโต้กลับ” ฟ้อง “บิ๊กตู่-คสช.” ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 57 ชี้ต้องตีความกฎหมายให้บังคับใช้ได้รักษารัฐ – รัฐธรรมนูญปี2557 คุ้มครองอยู่

กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ รวม 15 คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อายุ 64 ปี นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 29 และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) , พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อายุ 64 ปี อดีตรองนายกรัฐมนตรีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และรองหัวหน้าคณะ คสช., พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง อายุ 64 ปี รองนายกฯและ รมว.ยุติธรรม และ รองหัวหน้า คสช. , พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อายุ 64 ปี รมว.แรงงาน และรองหัวหน้า คสช. และพล.อ.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อายุ 64 ปี อดีตรองนายกฯ และรองหัวหน้า คสช.

ในความผิดมั่นคงต่อรัฐ ฐานร่วมกันกบฏ ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักรโดยใช้กำลังประทุษร้าย และสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 และ 114

โดยคดีนี้โจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 58 บรรยายพฤติการณ์ เมื่อระหว่างวันที่ 20-24 พฤษภาคม 57 จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้กำลังขู่เข็ญประทุษร้ายและล้มล้างเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อันเป็นความผิดฐานกบฏ และพวกจำเลยยังได้ออกคำสั่งในนาม คสช.หลายฉบับ อันเป็นการละเมิดสิทธิ์และเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ทำให้โจทก์ทั้ง 15 คนได้รับความเสียหาย

ฎีกายืนยกฟ้อง “พลเมืองโต้กลับ” ฟ้อง “บิ๊กตู่-คสช.” ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 57 ชี้ต้องตีความกฎหมายให้บังคับใช้ได้รักษารัฐ – รัฐธรรมนูญปี2557 คุ้มครองอยู่

ขณะที่ ศาลอาญาได้พิจารณาคำฟ้องประกอบข้อกฎหมาย ในชั้นตรวจรับคำฟ้องแล้ว เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 57 บัญญัติยกเว้นความผิดและความรับผิดการกระทำทั้งหลายในการยึดอำนาจและการควบคุมอำนาจปกครองแผ่นดิน ของหัวหน้าคณะและ คสช.ไว้ จึงพ้นจากความรับผิดโดยสิ้นเชิงศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม58 ไม่รับฟ้องคดีดังกล่าว

ต่อมาโจทก์ ยื่นอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยไม่ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บัญญัติมาตรา 47 และ 48 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 เพื่อนิรโทษกรรมให้กับการทำรัฐประหารและการกระทำในรูปแบบต่างๆ นั้น เป็นการผิดระบบประชาธิปไตย และละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย เนื่องจากกฎหมาย จะต้องมีสภาพเป็นข้อความคิดที่เชื่อมโยงและใช้ความยุติธรรม หรือเกิดขึ้นโดยปราศจากความยุติธรรมทางจิตวิญญาณ ความปรารถนาของสังคม จึงไม่สามารถอ้างมาตรา 47,48 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อเป็นเหตุยกเว้นความผิด จึงชอบที่ศาลชั้นต้นชอบจะรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 162

ฎีกายืนยกฟ้อง “พลเมืองโต้กลับ” ฟ้อง “บิ๊กตู่-คสช.” ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 57 ชี้ต้องตีความกฎหมายให้บังคับใช้ได้รักษารัฐ – รัฐธรรมนูญปี2557 คุ้มครองอยู่

โดยมีการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์59 ซึ่งศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ในคดีอาญาที่ประชาชนเป็นโจทก์ ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องเพื่อวินิจฉัยคดีก่อน ซึ่งวัตถุประสงค์ของการไต่สวนมูลฟ้องให้ศาลได้ไต่สวนพยานหลักฐานของโจทก์ในเบื้องต้นว่า โจทก์มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยในชั้นพิจารณา แต่อย่างไรก็ตามในชั้นตรวจรับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด และคดีขาดอายุความจึงเห็นควรตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษจึงชอบที่จะมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้อง และตามรัฐธรรมนูญฯ ชั่วคราว มาตรา 48 ที่บัญญัติว่า การกระทำทั้งหลายเนื่องในการยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 57 ของหัวหน้า คสช.รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้อง การกระทำต่างๆจะไม่มีผลบังคับทางรัฐธรรมนูญ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ดังนั้นแม้จำเลยทั้งห้า จะกระทำตามโจทก์บรรยายฟ้องก็ย่อมทำให้จำเลยทั้งห้ากับพวกพ้นจากความผิดโดยสิ้นเชิง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ดังกล่าว ดังนั้นที่ศาลชั้นต้น วินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูลที่ศาลจะรับไว้พิจารณา โดยไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายกฟ้องเช่นกัน

ต่อมาโจทก์ ก็ได้ยื่นฎีกาอีก ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคำฟ้องและสั่งรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ต่อไป ซึ่งศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่ามาตรา 47, 48 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557บัญญัติเพื่อนิรโทษกรรม คสช. เป็นการออกกฎหมายรับรองการกระทำความผิด มีสภาพเป็นกฎเกณฑ์ที่ขัดต่อเสียงแห่งมโนธรรมและหลักการพื้นฐานแห่งความยุติธรรมของมนุษยชาติอย่างชัดแจ้งนั้น

ศาลเห็นว่า สภาพของรัฐใดรัฐหนึ่งประกอบด้วยดินแดนที่แน่นอน ประชาชน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย กฎหมายต้องใช้บังคับได้ แม้จะอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ชอบ แต่ต้องตีความกฎหมายให้เกิดผลบังคับใช้ได้ ให้คงอยู่เป็นรัฐ มิฉะนั้นบ้านเมืองเสียหาย การยึดอำนาจในขณะนั้น คสช.ใช้อำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้ว่าการได้มาซึ่งอำนาจจะไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ก็เป็นกรณีว่ากล่าวกันในด้านอื่น คสช.มีอำนาจในเชิงข้อเท็จจริง ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจึงมีสภาพเป็นกฎหมาย ตามที่มาตรา 48 ได้บัญญัติไว้ และต่อมารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 279 ก็ได้รับรอง การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงพ้นผิดโดยสิ้นเชิง

ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าการยกฟ้องโดยไม่มีการไต่สวนมูลฟ้องเพื่อวินิจฉัยมูลคดีก่อนประทับฟ้อง เป็นการข้ามขั้นตอนนั้น ศาลเห็นว่าการยกฟ้องไม่จำเป็นต้องไต่สวนเพื่อรับไว้พิจารณาเสมอไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อเห็นว่าจำเลยพ้นความรับผิด
ศาลยกฟ้องได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นชอบแล้ว พิพากษายืนยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโจทก์ทั้งหมด15 คนที่ยื่นฟ้องคดีนี้ ประกอบ นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ , นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ, นายสิรวิชญ์หรือจ่านิว เสรีธิวัฒน์ , น.ส.ศรีไพร นนทรี , นายบารมี ชัยรัตน์ , นายณัทพัช อัคฮาด , นายสิรภพ กรณ์อรุษ , นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน , น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว , นายนัชชชา กองอุดม , นายอภิวัฒน์ สุนทรารักษ์ , นายพายุ บุญโสภณ , นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา , นายกฤต แสงสุรินทร์ และ นายอานนท์ นำภา

ฎีกายืนยกฟ้อง “พลเมืองโต้กลับ” ฟ้อง “บิ๊กตู่-คสช.” ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 57 ชี้ต้องตีความกฎหมายให้บังคับใช้ได้รักษารัฐ – รัฐธรรมนูญปี2557 คุ้มครองอยู่

ด้านนายอานนท์ นำพา ทนายความกลุ่มพลเมืองโต้กลับ กล่าวว่า ศาลมีคำสั่งให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำรัฐประหารในช่วงนั้น สามารถมาบริหารประเทศได้ ซึ่งเราก็เคารพคำพิพากษาของศาล โดยเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทยอยู่ในเงื่อนไขแบบเดิม ที่เราต้องต่อสู่ทางการเมืองต่อไป อย่างน้อยเราก็ได้ใช้สิทธิในการฟ้องว่าการทำรัฐประหารเป็นการกระทำผิด โดยนัยยะของคำพิพากษาศาลเห็นว่า กระทำผิดแต่หลุดพ้นจากความผิดตามรัฐธรรมนูญที่ออกโดยคณะรัฐประหาร การที่เราพยายามพิสูจน์ว่าการรัฐประหารที่ผ่านมา 4 ปีแล้ว ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างไร คิดว่าเราก็ได้ประจักษ์แล้ว ถือว่าเป็นความสำเร็จร่วมกัน ขณะเดียวกันก็เป็นความพ่ายแพ้ร่วมกัน ที่นำผู้กระทำความผิดในการรัฐประหารมาลงโทษไม่ได้ เราก็กังวลว่าในอนาคตหากสังคมและกระบวนการยุติธรรมยังเอื้อที่จะก่อให้เกิดรัฐประหารก็จะเป็นปมเงื่อนที่ประเทศไทยจะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ทั้งนี้สำหรับในหลายประเทศที่มีการเอาผิดการรัฐประหารมาลงโทษได้นั้น ก็ต่อเมื่อประเทศและสังคมตระหนักร่วมกันว่าการรัฐประหารเป็นภัยต่อสังคม ซึ่งเรารอได้ไม่ว่าจะ 10 หรือ 20 ปี เพื่อที่จะเห็นการนำผู้กระทำความผิดต่อบ้านต่อเมืองมาลงโทษ

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะดำเนินการทางการเมืองอย่างไรต่อไป

นายอานนท์กล่าวว่า เบื้องต้นกลุ่มเราซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่จะเคลื่อนไหวให้มีการเลือกตั้งและสนับสนุนนักการเมืองที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยเข้าไปยกเลิกผลพวงของการรัฐประหาร

เมื่อถามว่าคำพิพากษาของศาลในลักษณะนี้จะทำให้ยังมีโอกาสที่จะเกิดรัฐประหารในอนาคตต่อไปหรือไม่

นายอานนท์กล่าวว่า จะทำให้เหล่านายทหารรู้สึกย่ามใจว่าทำรัฐประหารไปก็จะไม่ผิด ซึ่งในวันข้างหน้าเราก็จะได้เรียนรู้ร่วมกัน ในวันนี้เราอาจจะไม่ชนะ แต่วันข้างหน้าสังคมไทยจะต้องชนะรัฐประหาร ซึ่งลำพังกฎหมายไม่สามารถเอาผิดรัฐประหารได้อยู่แล้ว นอกจากว่าผู้คนในสังคมนั้นจะต้องตื่นตัวและตระหนักอย่างมากจึงจะสามารถเอาผิดรัฐประหารได้ ตอนนี้สังคมไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผมคิดว่าเรากำลังขับเคลื่อนไปสู่จุดนั้นร่วมกัน ทุกฝ่ายคงเห็นแล้วว่าการรัฐประหารไม่ได้นำพาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรืองตามที่คาดหวัง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน