อนค.ปักธงนโยบาย-ล้างมรดกคสช. : สัมภาษณ์พิเศษ

อนค.ปักธงนโยบาย-ล้างมรดกคสช. หมายเหตุ : นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถึงการเตรียมความพร้อมเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.2562 และไฮไลต์สำคัญของการเปิดนโยบายพรรควันที่ 16 ธ.ค.นี้ พร้อมวิธีจัดการมรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พาไทยออกจากวังวนการรัฐประหาร

การจัดวางตัวผู้สมัครส.ส.แต่ละพื้นที่

ตอนนี้พรรคมีสมาชิกล่าสุดเกือบ 35,000 คน แต่ละเขตครบตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)กำหนดไว้ว่า มีเขตใดที่มีตัวแทนประจำจังหวัดอยู่จะต้องมีสมาชิกในเขต 100 คน ขึ้นไป ทำให้พรรคสามารถส่งสมาชิกลงสมัครได้ทั้ง 350 เขต

ในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.เราออกแบบให้มี 3 หลักการผสมผสานกัน คือ 1.หลักการเปิดกว้าง ให้ใครก็ได้ที่เป็นสมาชิกของพรรค 2.ความคิดอุดมการณ์ของผู้เข้าแข่งขันต้องมีอุดมการณ์ ตรงกับพรรค 3.การมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรค ที่จะมีการหยั่งเสียงเบื้องต้น หรือการทำไพรมารีโหวตในแต่ละเขตเลือกตั้งที่ จะดำเนินการในวันที่ 13-14 ธ.ค.

โดยจะใช้ทั้ง 3 หลักการนี้คัดกรองบุคคล ให้สมาชิกในแต่ละเขตเป็นผู้เลือก จากนั้นจะนำรายชื่อของคนที่ได้ลำดับที่ 1 และ 2 มาให้คณะกรรมการสรรหา คณะกรรมการบริหารพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัดต่างๆ ทำความเห็นเข้ามาและพิจารณาร่วมกันว่าใครจะได้เป็นผู้สมัครส.ส.ในแต่ละเขตของพรรค

คาดว่าไม่เกินวันที่ 21-22 ธ.ค. จะได้เห็นผู้สมัครของพรรคครบทุกเขต รวมถึงแบบบัญชีรายชื่อด้วย ซึ่งเป็นที่น่าดีใจว่าเป็นคนหน้าใหม่จริงๆ เชื่อว่าการเมืองไทยที่ติดความขัดแย้งมา 13 ปีกว่าแล้ว จำเป็นต้องมีคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาในวงการเมืองให้มากขึ้น ทนไม่ไหวแล้วกับสภาพสังคมแบบนี้

จึงถือเป็นการปักธงให้กับการเมืองของไทยว่า การเมืองไม่ได้หมายความถึงอดีตส.ส. ตระกูลการเมือง ไม่ได้หมายความถึงหัวคะแนนในพื้นที่ ไม่ได้หมายถึงดูด ส.ส. ที่หมายถึงเวลา คุณเชิญกลุ่มส.ส.ไหนเข้าพรรค จะต้องส่งแกนนำมาใส่เสื้อแจ๊กเกตให้แล้วประกาศตัวว่าย้ายพรรคแล้ว แต่การเมืองคือเรื่องของทุกคนที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีขึ้น

สำหรับผมหลายคนอาจมองเป็นจุดอ่อน ไม่มีอดีตส.ส. คนที่มีฐานคะแนนเลย เป็นคนหน้าใหม่หมด แต่ผมว่านี่คือจุดแข็ง การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ประสบความสำเร็จในแง่นี้แล้ว

กังวลหรือไม่ว่าคนหน้าใหม่จะสู้คนหน้าเก่า หรือหัวคะแนนไม่ได้

ความเป็นจริงทางการเมืองไทยปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งมีคะแนนจัดตั้งเดิมที่ผูกติดไว้กับตัวบุคคลในแต่ละพื้นที่ แต่เช่นเดียวกันการเลือกตั้งทุกครั้ง ส.ส.หน้าเก่าจะสอบตกประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันการเมืองไทยไม่ได้เลือกตั้งมาแล้วหลายปี พฤติกรรมการเลือกตั้งของคนอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

ในท้ายที่สุดถ้าการเมืองไทยยังเชื่อแบบเดิม ยังเลือกคนแบบเดิม ยังเลือกกลุ่มการเมืองแบบเดิม พรรคอนาคตใหม่ก็พร้อมยอมรับและจะรณรงค์ต่อไปให้เป็นว่าถ้าคุณต้องการออกจากการเมืองแบบเดิม คุณถูกบังคับให้เชื่อว่าประเทศนี้ไม่มีทางเลือกอื่นใด คือต้องอยู่กับการเมืองแบบเดิม หรืออยู่กับรัฐประหารสลับกันไปแบบนี้

เราจึงเสนอตัวขึ้นมาว่าบ้านเมือง สังคมไทยไม่จำเป็นต้องอยู่แบบนี้คุณมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เราอาสาตัวมา เพื่อจะบอกว่ามีการเมืองแบบใหม่ที่ไม่ต้องอยู่กับรัฐบาลทหารก็ได้

ส่วนผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรพรรคอนาคตใหม่พร้อมยอมรับ เพราะประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจและเราก็เดินหน้าทำงานต่อ ถ้าได้มากก็ทำงาน ถ้าได้น้อยก็จะทำงานต่อ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีปัญหา อย่างน้อยที่สุดเราได้ขีดแบ่งเส้นทางการเมืองไทยไว้

วันที่ 16 ธ.ค.จะเปิดนโยบายของพรรค มีไฮไลต์สำคัญอะไรบ้าง

พรรคอนาคตใหม่จะเปิดตัว 12 วาระเปลี่ยนอนาคต ประกอบด้วย 3 นโยบายฐานราก 8 นโยบายเสาหลัก และ 1 ปักธงประชาธิปไตย

ผมเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายในส่วนของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.จัดการมรดก คสช. 2.สิทธิและเสรีภาพ และ 3.ลบล้างผลพวงรัฐประหารและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก

ในส่วนของกลุ่มแรก การจัดการมรดก คสช. นั้น คสช.อยู่กับเรามาเข้าสู่ปีที่ 5 และทิ้งมรดกบาปที่เราไม่ต้องการเต็มไปหมดในชื่อของประกาศ คสช. พ.ร.บ.ต่างๆ ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ออกมา รวมทั้งรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยจะต้องนำประกาศทั้งหมดมาทบทวนใหม่ ประกาศฉบับไหนที่เป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องระบบราชการและมีผู้ที่สุจริตรับผลประโยชน์ไปแล้วและพอที่จะเปลี่ยนได้ ก็ให้ใช้ต่อ แต่ให้สภาแปลงร่างให้เป็น พ.ร.บ.แทน เพราะชื่อเป็นประกาศคสช.ดูไม่ดี

ส่วนประกาศ คสช.ที่อยุติธรรม เนื้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื้อหาที่จัดการศัตรูทางการเมืองของคสช.ต่างๆ จะต้องยกเลิก และให้ผู้ที่เสียหายได้รับการเยียวยา

บรรดาประกาศคำสั่งต่างๆ ของคสช.อยู่ยงคงกระพันได้ทุกวันนี้ เพราะชอบด้วยรัฐธรรมนูญชั่วกัลปาวสาน ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยมาตราสุดท้ายได้รับรองเอาไว้ ดังนั้นต้องไปถอดสลักระเบิดนี้ทิ้ง ยกเลิกมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญนี้ทิ้ง เพื่อจะได้ตรวจสอบว่าประกาศของคสช.เหล่านี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

บรรดาพ.ร.บ.ที่สนช.ออกมาที่ประชุมกันแบบยกมือโหวตผ่านๆ แล้วเนื้อหาไม่ชอบธรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนจะต้องทบทวนแก้ไข เช่น กฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการชุมนุม กฎหมายที่ละเมิดวิถีชีวิต

และรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นก้อนที่ใหญ่ที่สุด และผมเคยพูดหลายครั้งว่า ไม่ได้ทำให้เราถอยหลังเพียงไม่กี่ปี แต่ทำให้ถอยหลังย้อนกลับไปไกล ความคิดในฝันของผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 คือทำให้การเมืองไทยเป็นไปอย่างรัฐธรรมนูญปี 2521 คือ เลือกตั้งไปเถอะแต่คุณจะได้รัฐบาลอย่างที่พวกเขาจัดวางไว้ ซึ่งถอยไป 40 ปีไม่พอ และอยากจะใช้รัฐธรรมนูญอย่างนี้อีก 20 ปีตามแผนยุทธศาสตร์

ฉะนั้นรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เพียงหนึ่งวัน ถอยไป 40 ปี และใช้อีก 20 ปี รวมแล้วทำประเทศถอยไป 60 ปี นี่คือสิ่งที่เขาปรารถนาจึงต้องแก้ไข โดยเราจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และเอาสภานั้นมาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ บ้านเมืองนี้จะไปต่อไม่ได้ถ้าไม่ดึงประชาชนเข้ามาร่วมร่างรัฐธรรมนูญร่วมกัน

กลุ่มที่สอง การจัดการสิทธิเสรีภาพ คิดว่า เสรีภาพที่สำคัญที่สุดและจะจรรโลงอยู่ได้ในระบอบประชาธิปไตยคือ จะต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการแสดงความคิดเห็นจะต้องจัดการ เช่น กฎหมายหมิ่นประมาทที่มีโทษทางอาญา และมีการฟ้องคดีแบบแกล้งกัน ทำให้สื่อมวลชน เอ็นจีโอ ไม่กล้าที่จะวิจารณ์ เพราะกลัวโดนคดี ในต่างประเทศเปลี่ยนโทษหมิ่นประมาทให้เป็นโทษปรับที่ไม่มีการติดคุก บางทีเอาออกจากกฎหมายอาญาเป็นการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน เจตนารมณ์เดิมคือการป้องกันแฮกเกอร์ทุกระบบที่ทำลายฐานข้อมูล แต่ทุกวันนี้คือกฎหมายที่ห้ามคนแสดงออกผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งผิดเจตนารมณ์ไปหมด

กฎหมายการชุมนุมสาธารณะซึ่งตามเงื่อนไขแล้วแทบจะชุมนุมไม่ได้เลย รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล หมิ่นประมาทผู้พิพากษาที่ต้องเข้าไปจัดการ

พรรคยืนยันว่าจะลงนามให้สัตยาบรรณในธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ทุกประเทศทำได้ ประเทศที่ปกครองแบบเราซึ่งเป็นประชาธิปไตยมีพระมหากษัตรย์ทรง เป็นพระประมุขได้ลงนามหมดแล้ว ทั้งอังกฤษ สวีเดน ญี่ปุ่น กัมพูชา

ดังนั้นไม่มีข้ออ้างไหนอีกแล้วนอกจากคณะรัฐประหารกังวลใจ กองทัพกังวลใจว่าตัวเองจะถูกดำเนินคดีได้ ซึ่งการลงนามจะเป็นการป้องกันระยะยาวในเรื่องของเสรีภาพ

กลุ่มสุดท้าย คือการป้องกันรัฐประหาร ที่จะสามารถทำได้ แต่ต้องมีการปฏิรูปกองทัพซึ่งพรรคมีนโยบายในการปฏิรูปกองทัพอย่างเป็นระบบโดยในวันที่ 16 ธ.ค.จะเปิดตัวในเรื่องนี้

และการปฏิรูปศาล เพราะการรัฐประหารทุกครั้งเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพียงกองทัพ ถ้าศาลไม่ไปตัดสินรองรับอำนาจรัฐประหาร กองทัพก็อยู่ไม่ได้ รวมทั้งจัดการทุนผูกขาดที่สนับสนุนการรัฐประหารตลอดเวลา

3 สิ่งนี่คือสิ่งที่จะต้องปฏิรูปเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐประหารอยู่ได้ และสิ่งที่เราดูตัวอย่างมาจากเยอรมนีคือการเขียนแบบให้ทหาร ข้าราชการทั้งหลายให้มีสิทธิและหน้าที่ในการที่จะต่อต้านการรัฐประหาร และต่อต้านการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ละเมิดกฎหมาย และสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งต้องประกันสิทธินี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ ประชาชนจะต้องมีสิทธิและหน้าที่ในการต่อต้านรัฐประหารในทุกวิธีการ

ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญไทยระบุไว้ว่าประชาชนมีสิทธิในการต่อต้านรัฐประหารแบบสันติวิธี คือ เขาเอารถถังมาเป็นขบวนแล้วจะไปต่อต้านสันติวิธีไม่สามารถทำได้

อีกเรื่องที่ผมไปดูประเทศที่มีรัฐประหารบ่อยๆ และสุดท้ายยุติไปได้ เช่น กรณีของกรีซ ที่ระบุในรัฐธรรมนูญมาตราสุดท้ายไว้ว่า วันใดก็ตามที่ประชาชนสามารถเอาอำนาจสูงสุดของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งหลังจากถูกคณะรัฐประหารขโมยไปให้ดำเนินคดีกับคณะรัฐประหารทั้งหมดโดยไม่มีอายุความ

และอีกอย่างที่ผมคิดขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษสำหรับประเทศไทยคือ เวลารัฐประหารเกิดขึ้น วันที่ยึดอำนาจมีความผิดฐานกบฏตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 คนจะไปฟ้องกัน ของไทยมีตั้งแต่ไปแจ้งความตำรวจ แล้วก็ส่งอัยการไปศาล ซึ่งกว่าจะไปถึงก็นิรโทษกรรมตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว หรือถ้าไปถึงศาล ศาลจะบอกว่าคุณไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้ ศาลไม่รับฟ้อง

ดังนั้นความผิดในฐานกบฏต้องเขียนไว้ว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสียหาย ทุกคนต้องฟ้องได้หมด และศาลต้องพิจารณาคดีเร่งด่วนภายใน 7 วัน ทำให้ศาลต้องรีบตัดสินทำให้นิรโทษไม่ทัน ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคสช.ใช้เวลาเป็นเดือนในการนิรโทษกรรมตัวเอง

ทั้งหมดที่ผมออกแบบใหม่นั้นคิดในระดับรัฐธรรมนูญ ระดับโครงสร้างกองทัพ สถาบันการเมือง ระบบยุติธรรม เพื่อที่จะทำให้ประเทศนี้ออกจากวงจรรัฐประหารที่เราอยู่มาหลาย 10 ปี ถ้าทำสำเร็จผมคิดว่า นโยบายอื่นๆ จะเดินหน้าไปได้สวย แต่ทุกวันนี้ที่สะดุดเพราะวงจรรัฐประหารแบบนี้

การจัดการมรดกคสช. จะต้องทำอย่างไรกับชนชั้นนำที่สนับสนุนหรืออิงแอบกับคณะรัฐประหาร เพื่อเลี่ยงความขัดแย้ง

วิธีการอธิบายนี่ง่ายมาก แต่ขออย่างเดียวให้เปิดใจกว้างรับฟังกัน ผมจะอธิบายแบบนี้ คุณไม่สามารถปกครองประเทศนี้ ครอบงำประเทศนี้ด้วยการเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปไว้กับคนกลุ่มเดียว ทั้งอำนาจ ทุน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง ตรงกันข้าม ต้องเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และดีด้วยกันทั้งหมด

ถ้าคุณเอาไปหมด ยกตัวอย่างคือ เมื่อคุณเปิดประตูบ้านออกไป จะพบอีกคนจนติดดินเลย ไม่มีอะไรกินเลย ฉะนั้น โครงสร้างของประเทศไทย ผมเชื่อว่า ชนชั้นนำที่มีสายตา มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็มี เพียงแต่ดูแล้วอาจตกใจกลัว

แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเปิดโอกาสให้ได้พูดคุยกัน มีใครบ้างที่จะไม่อยากเห็นคุณภาพชีวิตพี่น้องคนไทยที่ดี มีใครบ้างที่ไม่อยากเห็นประเทศไทยก้าวหน้าไปได้ ก้าวหน้าไปที่ไม่ใช่เพียงตัวเลข ไม่ใช่เพียงแต่บริษัทไม่กี่บริษัท หรือก้าวหน้าไปแต่ต้องยืนอยู่บนซากปรักหักพังของพี่น้องชาวไทย ทุกคนอยากก้าวหน้าไปพร้อมๆ กันหมด

เชื่อว่า ชนชั้นนำไทยก็มีลูกหลานที่ต้องอยู่ในสังคมนี้อีกนาน แล้วผมเชื่อจริงๆ ว่า คนรุ่นต่อๆ ไปเขาคิดไกล คงไม่คิดในลักษณะที่บ้านฉันเป็นแบบนี้แล้ว คนรุ่นฉันได้ต่อ รุ่นลูกฉันก็ได้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่คนอื่นไม่ได้อะไรเลย ผมจึงพูดคุยกับคนที่มาจากสถานะทางเศรษฐกิจดีต่างๆ คนพวกนี้เขาก็คิดแบบใหม่ มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

สังคมแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วในประเทศตะวันตก เวลาทุนนิยมขึ้นไปผูกขาดอำนาจจนถึงที่สุดโดยแค่คน 10 คนได้ทุกอย่าง แล้วอีก 90 คนไม่ได้อะไรเลย แล้วถามว่า คนอีก 90 คนเขาจะอยู่อย่างไร วันหนึ่งมันอยู่ไม่ได้ มันก็ระเบิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น การเมืองในตะวันตกเป็นแบบนี้ให้เราเห็นแล้ว สุดท้ายคน 10 คน ก็ต้องกระจายลงให้ 90 คนด้วย มันถึงจะไปได้

เชื่อว่า ชนชั้นนำไทย ฝ่ายอนุรักษนิยม ถ้าได้คุยกันแล้วจะเข้าใจเหตุผลนี้

 

คลิกอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน