ไก่อูเร่งเคลียร์ ศึกสส.สงขลา 2พรรครุมค้าน ใช้ม.44ลดโทษ คนจ่ายสินบน!

โฆษกคสช.เชื่อคนจิตใจปกติคงไม่คิดทำร้าย”ตู่-ป้อม” อ้างคนส่วนใหญ่ ยังให้กำลังใจรัฐบาลคสช.ทำงานต่อ “ไก่อู” ชี้เป็นหน้าที่ของ คสช.-ฝ่ายมั่นคง หาต้นตอ มือโพสต์ขู่ฆ่า พร้อมส่งจนท.เคลียร์นัก การเมืองสงขลา ยันรัฐบาลดูแลชาวนา ด้านเกษตรกรใต้ท้า”บิ๊กตู่-ไก่อู”ลงพื้นที่จะได้รู้ปัญหา นายกฯนัดเวิร์กช็อปยุทธศาสตร์ชาติ เร่งวางโครงสร้างงาน เล็งดึงคนหนุ่มสาว ไฟแรงร่วมทีมป.ย.ป. ปชป.-เพื่อไทยค้านใช้ม.44 ลดโทษผู้จ่ายสินบนแลกกับข้อมูล หวั่นส่งสัญญาณจ่ายใต้โต๊ะไม่ผิด-ใช้สองมาตรฐาน สุรพงษ์เย้ย”บิ๊กตู่”ไม่เข้าใจงานเศรษฐกิจ ชี้ 3 ปีกู้ 2 ล้านล้าน โวยกรธ.ยกร่างกฎหมายเลือกตั้งส.ส. มัดมือชกแบ่งเขตเลือกตั้ง นักวิชาการจวกรัฐออกกฎหมายควบคุมสื่อ จับตาปมถอนใบอนุญาต

“บิ๊กตู่”จัดเวิร์กช็อปยุทธศาสตร์ชาติ

เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมเชิงปฏิบัติ (เวิร์กช็อป) คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ รับผิดชอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการประชุมจะมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน มีผู้ร่วมประชุมได้แก่ รองนายกฯ ทั้ง 6 คน ประธานและรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประธานและรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

นายสุวิทย์กล่าวว่า สาระสำคัญที่จะประชุมนั้นจะแตกต่างจากการประชุมเวิร์ก ช็อปเตรียมการปฏิรูปประเทศ แต่เชื่อมโยงกัน โดยจะวางโครงสร้างการดำเนินงาน 6 ด้าน มี 6 อนุกรรมการ อาทิ อนุกรรมการความมั่นคง อนุกรรมการสร้างความสามารถในการแข่งขัน อนุกรรมการสร้างศักยภาพคน โดยจะทบทวนว่าที่ผ่านมาแต่ละฝ่ายดำเนินการเรื่องใดไปแล้วบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่าจะเชื่อมโยงการปฏิรูปอื่นๆ ได้อย่างไร และจะพิจารณายุทธศาสตร์ 20 ปีของทุกกระทรวง หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ มอบให้แต่ละกระทรวงทำแผนยุทธศาสตร์ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้จะทำงาน เพื่อส่งมอบให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่จะมีขึ้นหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้

เล็งดึงคนรุ่นใหม่ร่วมทีมปยป.

นายสุวิทย์กล่าวว่า ส่วนคณะกรรมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่รับผิดชอบ โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม คาดว่าจะมีการประชุม เวิร์กช็อปในสัปดาห์ต่อไป ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงาน โดยสัปดาห์หน้าจะหารือกับพล.อ.ประวิตร

นายสุวิทย์กล่าวถึงการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมป.ย.ป.ว่า นอกจากจะมีผู้เชี่ยวชาญงานด้านต่างๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่แล้ว คิดว่าจะเปิดโอกาสให้คนหน้าใหม่หรือคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทำงานด้วย โดยต้องการคนหนุ่มสาวที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทำงานในระดับหนึ่ง เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องนั้นๆ เข้ามาเป็นคณะทำงานใน 4 คณะย่อยของ ป.ย.ป.








Advertisement

“ป.ย.ป. เป็นงานระดับชาติ ต้องใช้คนที่มีบารมี มีประสบการณ์ พร้อมกับผู้ที่มีความ คิดอ่านทันสมัยน่าจะเอาเข้ามาร่วมด้วย คนหนุ่มสาวที่ว่านี้ต้องมีประสบการณ์ในระดับหนึ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิอาจแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้ใหญ่และคนหนุ่มสาวที่ไฟแรง เชี่ยวชาญเรื่องต่างๆ” นายสุวิทย์กล่าว

จัดระดมไอเดียผู้บริหารงานปฏิรูป

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงการทำงานของป.ย.ป. หลังมีเวิร์กช็อปเตรียมการปฏิรูปประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า พอใจกับวาระการปฏิรูปที่สปท.เสนอ ทุกอย่างเป็นไปตามที่จัดเตรียมและวางแผนไว้ สิ่งที่ติดขัดก่อนหน้านี้ได้เร่งรัดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งที่ประชุมได้แจกการบ้านให้ทุกฝ่าย จากนั้นจะเป็นขั้นตอนติดตามว่าสิ่งที่ได้มอบไปนั้น มีความคืบหน้าอย่างไร ซึ่งทั้ง 27 วาระการปฏิรูป จะใช้เวลาพิจารณาเท่าใดก็แล้วแต่กรณี เมื่อพิจารณาเสร็จ วาระการปฏิรูปจะถูกส่งไปยังคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ที่รับผิดชอบโดยรองนายกฯ 2 คน คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย ก่อนเข้าที่ประชุมครม. หากต้องออกเป็นกฎหมาย ครม.จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาถึงรายละเอียด

นายวิษณุกล่าวถึงพล.อ.ประยุทธ์ มอบให้จัดหลักสูตรอบรมให้ความรู้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกี่ยวกับการทำงานของ ป.ย.ป. ว่า รูปแบบการอบรมให้ความรู้ จะจัด เวิร์กช็อป 1 หลักสูตรใช้เวลา 4-5 วัน หลักสูตรที่ 1 อบรมแก่ปลัดกระทรวง อธิบดี หลักสูตรที่ 2 รองปลัดกระทรวงที่จะขึ้นเป็นปลัดกระทรวง รองอธิบดีที่จะขึ้นเป็นอธิบดี หลักสูตรที่ 3 ผู้ว่าฯ ซึ่งการจัดอบรมครั้งนี้ไม่ใช่การบรรยายหรือสอน แต่โยนปัญหา ให้ผู้เข้าอบรมได้ช่วยกันระดมความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ การเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้ข้าราชการเข้าใจการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ จะได้มองในภาพเดียวกันได้ คาดว่าจะเริ่มได้ภายในเร็วๆ นี้

นายวิษณุกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมไม่ได้หารือถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ส่วนการออกมาตรา 44 เพื่อแก้ไขปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายและการซื้อขายตำแหน่งของข้าราชการตำรวจนั้น ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ

“มาร์ค”ติงยุทธศาสตร์ชาติ20ปี

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สถาบันพระปกเกล้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวบรรยายในหัวข้อ “การเมืองกับการบริหารเศรษฐกิจไทย” ตอนหนึ่งว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งจีดีพี หรือตัวเลขรายได้เฉลี่ย ต่อหัวที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเก็บข้อมูลนั้น ไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน ถ้าใช้ตัวเลขนี้มาบริหารเศรษฐกิจก็จะมีปัญหาว่าเราบริหารตอบโจทย์การแก้ปัญหาชีวิตคนได้จริงหรือไม่ ซึ่งถึงเวลาที่เราต้องมาหาชุดตัวเลขชุดข้อมูลใหม่แล้ว เพราะตัวเลขที่สวนทางกับความเป็นจริงจะเป็นเรื่องที่อันตราย

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่า ยุคนี้เป็นไปได้หรือที่จะมีใครบอกได้ว่า 20 ปีข้างหน้าประเทศจะเป็นอย่างไร ดังนั้น จะเขียนอะไรลงไปลึกก็คงไม่ได้ ถ้าบอกว่าการเขียนยุทธศาสตร์ 20 ปีไว้ อะไรดีก็ ทำ อะไรไม่ดีก็ยกเลิกไป ถ้าบอกอย่างนั้น อยากถามว่าจะเขียนไว้ทำไม ซึ่งการเขียนยุทธศาสตร์ 20 ปีไม่มีความหมายเท่ากับสร้างความตระหนักให้ประชาชน สร้างความตื่นตัวทางสังคมเพื่อกดดันให้รัฐบาลต่อๆ ไปต้องทำ หากอยากเขียนยุทธศาสตร์ 20 ปี 1.ควรทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน 2.การตั้งเป้าหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เด็กไทยต้องสามารถพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา แต่หากจะเขียนลงรายละเอียดโครงการนั้น โครงการนี้ไม่ได้

“อีกไม่กี่วันนายกฯจะต้องตัดสินใจเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จ.กระบี่ ซึ่งผมพูดตรงๆ ว่าหากท่านตกลงจะสร้าง ถ้าผมเป็นรัฐบาลเลิกได้ก็จะเลิก เพราะปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นไม่ได้มีความสำคัญกับความมั่นคงทางพลังงานแทน ทั้งที่ควรจะเป็นโรงไฟฟ้าปาล์มแทน” นายอภิสิทธิ์กล่าว

แนะทบทวนใช้ม.44 แก้สินบน

นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. เห็นด้วยที่กระทรวงการคลังเสนอให้ใช้มาตรา 44 ลดโทษให้ผู้ที่จ่ายสินบนให้รับผิดทางแพ่งและอาญา เพื่อให้ได้ข้อมูลเอาผิดผู้ที่รับสินบนว่า อยากให้ศึกษาให้รอบคอบ เพราะมีเหตุผล 2 ทาง โดยทางแรกน่าเป็นห่วงว่า ในเมื่อเป็นความผิด จะเป็นเรื่องยากที่จะได้พยานหลักฐาน เพราะคนที่ให้สินบนก็คือผู้กระทำผิดด้วย แต่อีกทางหนึ่งหากปราศจากความผิดจะส่งสัญญาณที่ไม่ดี เท่ากับการจ่ายสินบนไม่ใช่ความผิด ทั้งนี้ อยากให้ดูทางเลือกที่มีความพอดี เช่น กฎหมายเลือกตั้ง จะมีการพูดถึงคนซื้อคนขาย สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าผิดทั้งคู่ แต่เปิดโอกาสกรณีผู้ขายเสียง มาแจ้งเจ้าหน้าที่ย้อนหลังภายในเวลาที่กำหนด ก็จะยกเว้นหรือลดหย่อนผ่อนโทษให้ ตนจึงอยากให้รูปแบบคล้ายคลึงกัน เพื่อยืนยันว่าการให้สินบนก็เป็นความผิด เพียงแต่ต้องมีมาตรการหรือช่องทางทำให้ผู้ที่จ่ายสินบนร่วมสืบสวนเพื่อเอาผิดกับคนรับสินบน

“ปัญหาใหญ่ในประเทศคือการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเรื่องตรวจสอบการทุจริตติดสินบนพนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมือง เกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องยนต์ของบริษัท โรลส์-รอยซ์ ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้ว่า ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ แต่ในประเทศ ไทยกลับไม่มีการรับรู้มาก่อน ฉะนั้น ภาครัฐควรปรับปรุงด้านนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสืบสวนหาผู้กระทำผิด” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ส่วนกรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ถูกโพสต์ข้อความขู่สังหารทางโซเชี่ยลมีเดียนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าผู้ที่เกี่ยวข้องได้ยืนยันข้อเท็จจริงแล้ว และพล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้หวั่นไหวกับเรื่องนี้ และต้องเป็นไปตามกฎหมาย

พท.หวั่นใช้ม.44ฝ่ายตรงข้าม

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงานและคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ประยุทธ์เห็นด้วยกับกระทรวงการคลังใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐว่า เป็นการแก้ตัวและแก้ไขปัญหาหลังจากดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นโลกปี 59 คะแนนไทยร่วงจาก 38 เป็น 35 อันดับตกจาก 76 เป็น 101 จาก 176 ประเทศ ทำให้สังคมมองว่าเกิดการทุจริตกันมาก ซึ่งการจะใช้มาตรา 44 มาแก้กฎหมายคอร์รัปชั่นจะ เป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืน เพราะที่ผ่านมาปัญหาคอร์รัปชั่นส่วนใหญ่จะเกิดมากในช่วงที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย มากกว่าช่วงที่ประเทศเป็นประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลถูกตรวจสอบจากฝ่ายค้านได้ตามกลไกรัฐสภา

นายพิชัยกล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นจึงต้องแก้ที่วิธีคิด การปลูกฝังจิตสำนึก การปฏิบัติ และการยอมรับของประชาชน และการใช้มาตรา 44 ของคสช.ต้องดูว่าจะใช้กับคนกลุ่มใด เพราะปัญหา ที่เกิดตลอด 2 ปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากรัฐบาลเอง เช่น จีที 200 อุทยานราชภักดิ์ การขุดลอกคลองทหารผ่านศึก คดีเรือเหาะ แต่รัฐบาลจะกล้าใช้กับเรื่องเหล่านี้หรือไม่ อีกทั้งผู้ใช้อำนาจมาตรา 44 จะถูกตรวจสอบได้บ้างหรือไม่ การปราบคอร์รัปชั่นจะดีได้หรือไม่ แต่เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่จะนำกฎหมายดังกล่าวไปปฏิบัติกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตนเอง หากรัฐบาลไม่สองมาตรฐาน เอาจริงกับการแก้ปัญหาทุจริต กับทุกฝ่าย จะถือเป็นสัญญาณที่ดีว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบทุจริต

เย้ย”ตู่”ไม่เข้าใจงานเศรษฐกิจ

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศและแกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เห็นความตั้งใจที่พล.อ.ประยุทธ์จะจัดงานเชิญชวนนักธุรกิจ นักลงทุน มาร่วมประชุมสัปดาห์หน้าที่ศูนย์ประชุมเมืองทองธานี รู้สึกเสียดายที่รัฐบาล คสช.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หากนักธุรกิจจะเข้ามาลงทุนในไทยนั้น สิ่งแรกที่เขาจะทำคือสอบถามสถานทูตหรือสถานกงสุลของเขาถึงสถานภาพว่าปัจจุบันประเทศเราเป็นเช่นไร จะเกิดการเลือกตั้งเมื่อใด กฎกติกา ระเบียบต่างๆ เป็นอย่างไร สิทธิและเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็นถูกปิดกั้นหรือไม่ ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมาเหมือนการเขียนตำราเรียน หากนำมาปฏิบัติจริงแทบจะทำไม่ได้ เช่น ป.ย.ป. มีคณะทำงานจำนวนมาก มีแนวคิดทางวิชาการมากมาย แต่ถ้านำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงก็คงเหมือนฝัน

นายสุรพงษ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องยอมรับว่าตลอดชีวิตเป็นทหารร่วม 60 ปี ไม่เคยบริหารงานธุรกิจ ไม่เข้าใจถึงหลักการค้าการขาย ไม่เคยปฏิบัติงานด้านการตลาด ไม่เคยเข้าสู่วงการทำธุรกิจระดับอินเตอร์ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังจากบุคคลรอบข้าง นักวิชาการและจากตำราเท่านั้น รู้สึกเป็นห่วงกับอนาคตของประเทศที่จะต้องฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ต้องหารายได้เข้าประเทศเพื่อมาชดใช้หนี้ที่รัฐบาล คสช.ก่อไว้ และกู้เงินมาใช้จ่ายชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลตลอดเกือบ 3 ปีเต็ม เกือบ 2 ล้านล้านบาท ไม่อยากเห็น นายกฯ โยนภาระมาให้รัฐบาลใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งเข้ามาแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ พอแก้เสร็จก็มักเกิดรัฐประหารซ้ำรอยเดิมทุกครั้ง และหวังว่าถ้าปรองดองจบ คงไม่มีปฏิวัติเหมือนที่พล.อ.ประวิตรพูดไว้ ประเทศไทยจะได้เจริญรุ่งเรืองไปข้างหน้าได้และประชาชนมีความสุข

โวยกรธ.มัดมือชกแบ่งเขตเลือกตั้ง

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบร่างกฎหมายเลือกตั้งส.ส.ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในเบื้องต้น พบว่าในมาตรา 20 (3) บัญญัติให้พรรคการเมืองมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นการแบ่งเขตเลือกตั้ง แต่ในบทเฉพาะกาลในมาตรา 152 กลับบัญญัติว่าในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกมิให้นำบทบัญญัติมาตรา 20 (3) มาใช้บังคับ ทั้งนี้ ถ้าเริ่มต้นกำหนดกติกาที่ไม่เป็นธรรมแล้วผลลัพธ์ที่จะตามมาคือความอยุติธรรม แล้วจะสร้างความปรองดองได้อย่างไร เขตเลือกตั้งถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะส่งผลว่าการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่

นายชวลิตกล่าวว่า จึงขอเรียกร้องให้ กรธ.ใช้บทบัญญัติในมาตรา 20 (3) ซึ่งกำหนดเป็นหลักเกณฑ์การแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยสร้างกลไกการถ่วงดุลไว้ดีแล้ว และควรตัดบทเฉพาะกาลในมาตรา 152 ออกไป เพราะหากผู้มีอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ในการแบ่งเขตเลือกตั้งให้กับพรรคใด จะเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการจัดการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม

คสช.เชื่อคนปกติไม่ขู่ฆ่า”บิ๊กป้อม”

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. กล่าวถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ระบุมีการโพสต์ข้อความขู่ฆ่าว่า กรณีการแสดงความคิดเห็นหรือโพสต์ใน โซเชี่ยลด้วยข้อความขู่อาฆาตมาดร้ายหรือมุ่งประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น ปกติแล้วอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่ต้องดูที่เจตนา ว่ากระทำด้วยความคึกคะนอง อยากมีตัวตนในสังคม สภาพจิตใจไม่ปกติ หรือมุ่งประสงค์ร้ายตามที่โพสต์จริง ซึ่งอาจเป็นได้หลายกรณี โดยเจ้าหน้าที่ ก็ไม่ประมาท และจะพิจารณาตรวจสอบหรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในทุกความเป็นไปได้

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญของรัฐบาล ที่ผ่านมาหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้วางระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างเข้มงวด ใครที่เป็นเป้าหมายก็ดูแลอย่างเต็มที่ และมีการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารในทุกช่องทางมาตลอด หากตรวจพบการกระทำใดที่สุ่มเสี่ยงเข้าข่ายผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะพิจารณาดำเนินการทันที จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลและคสช.โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาระดับสูง มีความตั้งใจเสียสละมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อส่วนรวมมาตลอด สังคมโดยรวมสามารถสัมผัสได้ในข้อเท็จจริงดังกล่าว

“หากเป็นคนที่มีสภาพจิตใจปกติคงไม่มีความคิดไปทำร้ายท่าน เชื่อว่าขณะนี้คนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงให้กำลังใจรัฐบาลและคสช.ให้ทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป” โฆษกคสช.กล่าว

ไก่อูยันอารักขาเข้ม”บิ๊กตู่”

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงนายกฯ ระบุกำลังหาตัว ผู้ออกข่าวขู่ลอบสังหารนายกฯและพล.อ. ประวิตรผ่านทางโซเชี่ยลมีเดียว่า การติดตามต้นตอของข่าวดังกล่าวเป็นหน้าที่ของคสช.และหน่วยงานด้านความมั่นคงทำอยู่ ส่วนการคุ้มกันและรักษาความปลอดภัยตัวนายกฯ ขณะนี้ยังมีความเข้มข้นเหมือนที่ผ่านมา

เมื่อถามว่ากรณีมีทหารผ่านศึกเดินฝ่าวงล้อมผู้สื่อข่าวเข้ามาหาพล.อ.ประวิตร พร้อมเข้าสวมกอดในงานวันทหารผ่านศึก เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา จะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปรับการคุ้มกันตัวนายกฯและรองนายกฯเพิ่มขึ้นหรือไม่ พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทีมรักษาความปลอดภัยของพล.อ.ประวิตร อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าจะต้องมีความลงตัวและเหมาะสม ระหว่างมาตรการดูแลความปลอดภัยกับการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา ทั้งนายกฯและรองนายกฯที่มีความเป็นกันเองกับประชาชนและสื่อ ถ้าเจ้าหน้าที่คุ้มกันมากก็อาจถูกมองว่าประชาชนเข้าถึงยาก

ส่งจนท.เคลียร์นักการเมืองสงขลา

พล.ท.สรรเสริญกล่าวถึงกรณีมีนักการเมืองในจ.สงขลา พยายามชักชวนเกษตรกรในพื้นที่ให้รวมตัวกันกดดันรัฐบาลเพื่อให้ช่วยเหลือด้านเมล็ดพันธุ์ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายแล้วว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และน.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.เกษตรและสหกรณ์ กำลังติดตามเรื่องนี้ โดยได้ประสานกับหน่วยงานในระดับจังหวัด ขณะเดียวกันชาวนาในพื้นที่มีความเข้าใจดีว่ารัฐบาลยังคงให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยกับนักการเมืองคนดังกล่าวให้ยุติการกระทำ ดังกล่าวด้วยหรือไม่ พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า คงมีการไปทำความเข้าใจกับเขาอยู่แล้วว่ารัฐบาลดูแลชาวนาและประชาชนตลอด จึงไม่มีอะไรที่นักการเมืองในพื้นที่ต้องห่วง ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพูดคุยตรงนี้กันได้เรียบร้อยดี ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

ปชป.ซัด”สรรเสริญ”ใส่ร้าย

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีตส.ส.สงขลา และหัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพล.ท.สรรเสริญระบุนักการเมืองจ.สงขลา กำลังปลุกม็อบชาวนาว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเกิดน้ำท่วมหนักกระทบชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องไม่มีพันธุ์ข้าว จึงรวมตัวกันร้องผู้ว่าฯ สงขลา แต่ผู้ว่าฯ ก็เฉย ประชาชนจึงไม่มีทางอื่น จึงมาบอกที่นายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว อดีตส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อนำเรื่องส่งต่อให้รัฐบาล ไม่ได้มีเจตนาปลุกม็อบ แล้วพล.ท.สรรเสริญเอาสาระจากไหนมาพูด รัฐบาลรู้ปัญหาต้องไปดูแลชาวบ้าน ไม่ใช่จะมากังวลนักการเมือง เอาแต่พูดแบบนี้ชาวบ้านจะพึ่งใคร ทางที่ดีให้ไปดูความเดือนร้อนชาวบ้าน อย่ามาหาเรื่องใส่ร้ายนักการเมืองเลย พวกเราพยายามให้โอกาสรัฐบาล ให้โอกาสพล.อ.ประยุทธ์ ขับเคลื่อนประเทศ ไม่ควรมาใส่ร้ายกันโดยไม่สอบข้อเท็จจริงให้ละเอียด อดีตส.ส.สงขลาไม่มีมาปลุกม็อบแน่นอน

ชาวนาท้า”ตู่-ไก่อู”ลงพื้นที่

นายถาวร แซ่อิ้ว ประธานชมรมชาวนาจังหวัดสงขลา เปิดเผยกรณียื่นเรื่องขอสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าว 2,500 ตัน เพื่อช่วยเหลือชาวนาที่ประสบภัยใน 4 อำเภอคาบสมุทรสทิงพระ ว่าเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้นเป็นความต้องการของชาวนาอย่างแท้จริง หลังเดือดร้อนจากการทำนาไม่ได้ผลผลิตและถูกน้ำท่วม อีกทั้งการช่วยเหลือของส่วนราชการนั้นล่าช้า จึงต้องขอความช่วยเหลือจากสมาพันธ์เกษตรกรซึ่งมีนายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว เป็นประธาน ที่ช่วยเหลือชาวนามาตลอด ขณะที่การช่วยเหลือของรัฐบาลทั้งครัวเรือนละ 3 พันบาท รวมถึงการช่วยเหลือเรื่องความเสียหายไร่ละพันบาทเศษนั้นไม่เพียงพอและไม่ใช่การช่วยเหลือที่ตรงจุด ทั้งนี้ อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ เดินทางลงพื้นที่จริงเพื่อสอบถามกับชาวนาโดยตรงซึ่งจะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่า

“ข้อเสนอของสมาพันธ์ฯ ได้ขอให้รัฐ ช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกร 2,500 ตัน จำนวน 5,000 ราย และขอรับทราบ คำตอบภายในวันที่ 6 ก.พ.นี้นั้น เนื่องจากชาวนาต้องเร่งรีบทำนาในช่วงที่ระดับน้ำในนามีความเหมาะสม อีกทั้งขณะนี้มีความล่าช้าจากฤดูกาลทำนาปกติ ทำให้ชาวนาในอำเภอระโนดทำนาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปีนี้” ประธานชมรมชาวนาจังหวัดสงขลากล่าว

สื่อจับตาปมถอนใบอนุญาต

ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดเสวนา “กฎหมาย กฎ(ด) สื่อ คุ้มครอง หรือควบคุม”

นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีการถอนเรื่องนี้ออกไปก่อน แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจากข้อมูลที่ได้รับมา ยังมีแนวความคิดทั้งเรื่องอำนาจการออกใบอนุญาตและโครงสร้างคณะกรรมการ โดยคนผลักดันยังยืนยันเดินต่อพอสมควร เพียงแต่เมื่อกระแสสังคมสูงก็อาจนำกลับไปปรับแก้ก่อน และลดทอนบางส่วน โดยในส่วน 4 ปลัดกระทรวงอาจยอมถอน แต่เรื่องใบอนุญาตยังเป็นประเด็นหลักที่จะคงไว้ต่อไป เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะควบคุมการประกอบวิชาชีพสื่อ ทั้งนี้ องค์กรสื่อจะมีการหารือกันเพื่อรับมือสถานการณ์ต่อไป

นางมาลี บุญศิริพันธ์ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน กล่าวว่า ประเด็นเรื่องเงินปีละ 100 ล้านบาทที่จะได้รับการสนับสนุนตั้งสภาวิชาชีพฯ จะเป็นตัวทำลายสื่อได้ เพราะถึงเวลานั้น อย่าลืมว่าสื่อก็เป็นปุถุชน และมีความเป็นไปได้ที่จะต้องวิ่งไปเป็นกรรมการ เป็นการล่อเลย เรียกว่าเป็นโครงสร้างที่แข็งกระด้างมาก และอึดอัดว่าคนที่มาร่างกฎหมายส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของสื่อเลย นอกจากนี้ การจะมีกฎหมายมาดูแลเราขอแค่ว่ากำหนดว่าคนที่จะมาทำอาชีพสื่อมวลชนต้องจัดการกันเอง เพราะขณะนี้ก็มีสภาหนังสือพิมพ์ เรามีกฎหมายอันเดียวก็พอว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาทำงานก็ต้องเป็นสมาชิกของสภาองค์กรสื่อ โดยองค์กรที่มีอยู่แล้วก็ทำให้เข้มแข็ง และส่งเสริมให้เขามีการกำกับดูแลอย่างชัดเจน ปัจจุบันเรายังไม่มีพลังอำนาจในการดึงทุกองค์กรมาเป็นสมาชิก

สปช.แจงเหตุให้จดทะเบียน

นายจุมพล รอดคำดี อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปประเทศ (สปช.) กล่าวว่า หากจะมีการปฏิรูปเราต้องยึดหลักความมีอิสระ เสรีภาพของ ผู้ทำงานด้านสื่อและประชาชน โดยการทำงานต้องอยู่ในกรอบจริยธรรม กรอบวิชาชีพของตนเอง จึงเห็นว่าต้องทำให้คนทำงานในวิชาชีพมีความคล่องตัว มีอิสระ เสรีภาพ แต่กำกับด้วยความรับผิดชอบ ดังนั้น ต้องมามองว่าจะทำอย่างไรให้ความรับผิดชอบเกิดขึ้น จริงๆ แล้วโดยหลักการเกิดสภาวิชาชีพสื่อไม่ได้ต้องการเพื่อควบคุม แต่เกิดขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพสื่อ ส่วนเรื่องการจดทะเบียนใน สปช.ในตอนนั้นแค่ให้คนทำวิชาชีพมีสังกัดชัดเจน ต้องแสดงตัวได้ว่าเป็นใคร อยู่องค์กรไหน ไม่ใช่ว่ามาแบบลอยๆ แต่บางคนจะบอกว่าพวกนักข่าวอิสระจะทำอย่างไร นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่สภาวิชาชีพฯ จะเป็นคนช่วยดูแลกำกับ แค่มา จดแจ้งมาขออนุญาตเท่านั้น

“ไก่อู”โต้รัฐถังแตก-ขึ้นภาษีน้ำมัน

เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมีการวิจารณ์การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ เครื่องบินภายในประเทศในทำนองว่ารัฐถังแตกจึงต้องไปรีดภาษีสูงขึ้นว่า ไม่เป็นความจริง จากข้อมูลฐานะการคลังของรัฐบาล เดือนธ.ค.2559 ยังมีเงินคงคลัง ซึ่งเป็นตัวเลขที่หักลบรายได้และรายจ่ายแล้วคงเหลือ 74,907 ล้านบาท และการที่มีเงินคงคลังเหลือจำนวนดังกล่าว เพราะช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 (ต.ค.-ธ.ค.59) รัฐบาลได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเบิกจ่ายงบประมาณที่สูงกว่าปีก่อนถึง 78,183 ล้านบาท และการจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการถึง 27,000 ล้านบาท จึงสรุปได้ว่าฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งเพียงพอ

พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า เหตุผลการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินคือ การสร้างความ เป็นธรรมในระบบภาษีและเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะการขนส่งทางถนนผู้ประกอบการหรือผู้ใช้รถต้องเสียภาษีน้ำมันเบนซินในอัตรา 5-6 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ขณะที่การขนส่งทางอากาศผู้ประกอบการเสียภาษีน้ำมันเครื่องบินเพียง 20 สตางค์ต่อลิตร ติดต่อกันมาถึง 24 ปีแล้ว รัฐจึงปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากการคำนวณต้นทุนของกรมสรรพสามิตพบว่า การปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบิน ครั้งนี้จะทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินปรับเพิ่มขึ้น 50 บาท ไม่น่าถึง 150 บาทต่อเที่ยว เพราะ เครื่องบินขนาดกลางที่มี 200-300 ที่นั่ง จะใช้น้ำมัน 2,500 ลิตรต่อช.ม. หรือมีภาระภาษี เพิ่มขึ้น 9,500-10,000 บาท หากนำไปเฉลี่ยกับจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินแล้วกรมสรรพาสามิตเห็นว่าราคาควรเพิ่มขึ้นเพียง 45-50 บาท

“การปรับขึ้นหรือลงของภาษีน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และอื่นๆ เป็น ไปตามหลักอุปสงค์และอุปทานของโลก ส่วนรายได้ที่เกิดจากการเก็บภาษีนั้นรัฐจะคืนกลับ แก่ประชาชนในหลายรูปแบบ เช่น การซ่อมแซมถนน สะพาน ระบบจราจร เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน รวมทั้งการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ลานบิน ระบบความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สำหรับอุตสาหกรรมการบินเช่นเดียวกัน ดังนั้น การอ้างว่าการใช้บริการ เครื่องบินไม่มีค่าใช้จ่ายหรือการคืนกลับให้แก่สังคมนั้นจึงฟังไม่ขึ้น” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน