รองโฆษกปชป. อัด ‘บิ๊กตู่’ ใช้ ม.44 อุ้ม 3 ค่ายมือถือทำมูลค่าหุ้นพุ่ง ชี้ เลวร้ายกว่ายุคทักษิณ

ม.44 – วันที่ 13 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย. นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจในฐานะหัวหน้าคสช. ออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 4/2562 เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ยืดระยะเวลาจ่ายเงินค่าประมูลคลื่นของกลุ่มโทรคมนาคม (ค่ายมือถือ) อนุญาตให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลคืนใบประกอบกิจการได้ ยกเว้นค่าธรรมเนียมประมูล 3 งวด

และอุดหนุนค่าเช่าโครงข่ายกระจายสัญญาณว่า เป็นการใช้อำนาจที่ชี้ให้เห็นว่าขาดธรรมาภิบาลเอื้อทุนใหญ่ ไม่แตกต่างจากสิ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกระทำทุจริตเชิงนโยบายจากการแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของบริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 66,000 ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการทุจริตเชิงนโยบายดังกล่าวยังนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทดังกล่าวจนขายให้กองทุนเทมาเสกของสิงคโปร์ได้สูงถึง 76,000 ล้านบาท ทำให้ศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

นายเชาว์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างพฤติกรรมของพล.อ.ประยุทธ์กับนายทักษิณ คือ กรณีทุจริตเชิงนโยบายของนายทักษิณ ยังมีกลไกตรวจสอบจนนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาล แต่การใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 เป็นการมัดมือชกประชาชน ถูกยับยั้งหรือฟ้องร้องไม่ได้ และไม่สามารถเรียกคืนความเสียหายที่จะเกิดต่อรัฐกลับมาได้ ตัวพล.อ.ประยุทธ์พ้นความรับผิดโดยสิ้นเชิง จึงอาจถือว่าเลวร้ายกว่ายุคนายทักษิณ ซึ่งที่จริง ถ้ากสทช.ต้องการช่วยทุนโทรคมนาคม ก็สามารถใช้อำนาจของตัวเองได้ แต่กลับเลือกที่จะเสนอให้ใช้อำนาจมาตรา 44 และพล.อ.ประยุทธ์สนองตอบ

จึงมองได้ว่าเป็นการใช้อำนาจพิเศษเพื่อหนีความรับผิดชอบทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องตอบคำถามว่าทำไมต้องยกผลประโยชน์นับหมื่นล้านบาทให้นายทุนโทรคมนาคม ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเหล่านี้พุ่งขึ้น และจากการคำนวณของประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าบริษัทเหล่านี้จะได้ผลประโยชน์ใกล้เคียงกัน แม้หนี้ก้อนสุดท้ายที่ยืดออกไปจะใหญ่ไม่เท่ากัน

แต่การปรับระยะเวลาในการยืดหนี้ที่แตกต่างกัน ทำให้สุดท้ายได้ตัวเลขประมาณ 8,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกันอย่างน่ามหัศจรรย์ จึงถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบทางการเมือง ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจพิเศษเอื้อกลุ่มทุนโทรคมนาคมอย่างโจ่งแจ้งตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง แรงสนับสนุนประชาชนที่ท่านได้อาจต่างจากในปัจจุบัน เพราะประชาชนจะทราบความจริงล่วงหน้าว่าความสงบที่ท่านอ้างว่าจะได้นั้นต้องแลกด้วยประโยชน์ที่ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ไปยกให้กับกลุ่มทุน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน